วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

Camry Hybrid ตัวเลือกชั้นดีสำหรับผู้บริหารยุคใหม่ ถ้าคุณไม่กลัวเทคโนโลยี




หากคุณพบว่า คุณเป็นมนุษย์ที่เสพติดความล้ำสมัย อะไรใหม่มาต้องขอลอง เค้าว่า ไอโฟน 3จี แจ๋วฉันก็มี แบล็คเบอรี่เด่น ฉันก็เล่น วันที่ 27 กรกฏาคมนี้ การอคอยก็จะสิ้นสุดเสียทีหลังจากที่เคยสงวนไว้เฉพาะผู้มีฐานะที่นิยมเล่นรถนำเข้ากันเสียที ใช่แล้วขอรับ อ้วนซ่า กำลังพูดถึงการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่โดดเด่นที่สุดในรอบหลายๆปีของค่ายสามห่วง โตโยต้า นั่นก็คือ โตโยต้า แคมรี่ ไฮบริด นั่นเอง

จะว่าไปไฮบริดนั้น ก็ไม่ได้ว่าใหม่อะไรมากนัก เพราะมีวิ่งกันในบ้านเรามาก็หลายปีแล้ว แต่ก็สงวนเอาไว้กับรถเอนกประสงค์ราคาแพง นำเข้าโดยค่ายอิสระ อย่างพวก โตโยต้า อัลพาร์ด หรือ เอสติมา กันเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอีกตลาดที่ต่างประเทศเค้าทำกันแบบจริงจังแต่บ้านเราแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีวิ่งกันเลย ก็คือรถยนต์ขนาดซับคอมแพ็คอย่าง โตโยต้า พริอุส หรือ ฮอนด้า อินไซท์ จะว่าไป รถยนต์ไฮบริดนี่เค้านิยมซื้อขายกันแบบจริงๆจังๆก็เห็นจะไม่พ้น ตลาดสหรัฐอเมริกา และที่แน่ๆก็คือ ตลาดญี่ปุ่น มากกว่าตลาดอื่นๆเป็นอันมาก เพราะจุดเด่นที่เค้าสนใจกันจริงๆ อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องของการประหยัดพลังงาน เพราะจากที่เคยทดสอบฮอนด้าอินไซท์มา ก็ประหยัดลงไปพอตัวแต่ก็ไม่ใช่ว่าน่าตกใจอะไรนัก แต่ประเด็นสำคัญก็คือเค้าชูประเด็น “ลดมลภาวะ” เป็นประเด็นหลัก อย่างในอเมริกาเองโฆษณาของแคมรี่ ไฮบริด เองก็เน้นว่าเพื่ออนาคตที่ดีกว่าอย่างชัดเจน (แถมในอเมริกาเองไปไกลอีกขั้นแล้ว ด้วยการออกแคมรี่ ไฮบริด ซีเอ็นจี ที่ทั้งสะอาด ทั้งประหยัด! และใช้ถังแก๊สแยกส่วนแบบที่เห็นกันในเบนซ์อี 200 เอ็นจีที ที่ไม่กินเนื้อที่สัมภาระอีกด้วย)

ทำไมถึงบอกว่าลดมลภาวะ? ประเด็นสำคัญของระบบไฮบริดก็คือการนำเอาพลังงานไฟฟ้าที่เก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่ขนาดใหญ่มาใช้เสริมกำลังขับเคลื่อน อาทิเวลาเร่งแซง โคยที่ไม่ต้องเค้นกำลังเครื่องยนต์มากมาย และในเวลาที่เครื่องยนต์ไม่ได้ใช้งานเพื่อขับเคลื่อนเช่นการเหยียบเบรครอให้รถเคลื่อนไว้ที่ตำแหน่งเกียร์ D นั้นก็จะ “ดับด้วยตัวเอง” การทำเช่นนี้ทำให้ในภาวะการจราจรหยุดนิ่ง รถยนต์ไฮบริด จะไม่ปล่อยมลภาวะออกมาเหมือนเช่นรถคันอื่นๆ แต่หากเราต้องการจะเคลื่อนที่ต่อไป เพียงถอนเท้าออกจากแป้นเบรค เครื่องยนต์ก็จะติดเองโดยอัตโนมัติ จากที่เคยลองรถไฮบริดของค่ายฮอนด้า ต้องยอมรับ “แทบ” ไม่รู้สึกตัวว่ารถติดๆดับๆ (แต่จังหวะมุดๆรอแทรก ก็อึดอัดเหมือนกัน เพราะเครื่องมันดูไม่พร้อมจะพุ่งพิกล) แต่ปัญหาสำคัญที่เจอก็คือ เมืองไทยเป็นเมืองร้อนและรถติดระดับโลก ทำให้ไม่สามารถทนใช้ระบบ “ดับด้วยตัวเอง” ไหว ต้องหันมาใส่เกียร์ว่างแทน เพราะในตำแหน่งเกียร์ว่าง เครื่องมันจะไม่ดับ แอร์ก็จะทำงานได้เหมือนเดิม ซึ่งก็แปลว่า ไม่ลดการปล่อยไอเสียเลยเช่นกัน เรียกได้ว่า การจะขับรถไฮบริด นั้นต้องมีการฝึกฝนเทคนิคการขับและจอดนิ่ง ต่างจากรถทั่วๆไปเหมือนกัน เรียกได้ว่า ต้องเรียนรู้วิธีขับรถแบบ “สุภาพ” กันเลยทีเดียว

เอาเป็นว่า ไม่ว่าคุณจะแคร์เรื่องโลกร้อน ห่วงเรื่องอัตราการบริโภคเชื้อเพลิง หรือเป็นแค่เพียงมนุษย์ทันสมัยที่ไม่ยอมตกเทรนด์ แคมรี่ ไฮบริด ใหม่! น่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี เพราะว่า สนนราคาเองก็ไม่ได้แพงกว่าเดิมมากมายอะไรนัก และอย่างน้อยๆ คุณเองก็อาจจะช่วยโลกได้เช่นกัน

โตโยต้า แคมรี่ (ที่มาจากภาษาญี่ปุ่นว่า “คัมมูริ” หรือ มงกุฏ) นั้นถูกวางตัวให้เป็นรถยนต์ซีดานสำหรับผู้บริหารสำหรับตลาดบ้านเรามากว่า 16 ปี ความโดดเด่นของแคมรี่ตลอดมานั้นก็คือ ความโอ่อ่า นุ่มนวล และความเงียบของห้องโดยสาร รวมไปถึง ความทนทานตามแบบฉบับของโตโยต้า จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำยอดขายได้ทะลุเป้าเสมอมา จวบจนปัจจุบันถือได้ว่าเป็น โฉมที่ 6 ของรถยนต์ในอนุกรมนี้แล้ว ซึ่งจุดแข็งของรถยนต์ในอนุกรมนี้ยังคงอยู่ในทุกรายละเอียดอย่างชัดเจน

ในแคมรี่ไฮบริดนี้ โดดเด่นด้วยสมถรรนะของระบบไฮบริดไฟฟ้าที่ให้แรงบิดที่เหลือเฟือ สำหรับการออกตัวที่ราวกับไร้น้ำหนัก แบบไม่ต้องรีดไม่ต้องเค้น พร้อมความเงียบนิ่มนวลของช่วงล่าง, ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่มอบบรรยากาศการขับขี่ในเมืองที่แสนผ่อนคลาย เรื่องของการออกแบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างรถกับผู้ใช้ก็นับว่าเป็นจุดหนึ่งที่แตกต่างจากรถยนต์ทั่วๆไปอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากระบบไฮบริดนี้จะมีการทำงานของเครื่องยนต์ต่างจากรถยนต์ทั่วไปมาก และยังแตกต่างระหว่างรถยนต์ไฮบริดยี่ห้ออื่นๆอีกด้วย รวมถึง ของค่ายฮอนด้า ที่เราเคยทำการทดสอบไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงนับตั้งแต่เริ่มออกรถกันเลยทีเดียว ขอบอกตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสรถยนต์ที่เรียกได้ว่า ต้องเรียนรู้ “ธรรมเนียม” ปฏิบัติกันใหม่หมดเริ่มตั้งแต่ “จังหวะ” การกดสตาร์ทรถเลยทีเดียว กว่าจะจับทางได้ก็ได้ความว่า “รอจนแอร์เป่าหน้า นั่นแหละเรียบร้อย ไปได้!” อีกส่วนที่แตกต่างอย่างชัดเจนก็คือ อวสานของมาตรวัดรอบ และการมาถึงของเข็มและหน้าจอมัลติฟังค์ชั่น แสดงสถานะการทำงานของระบบไฮบริด ซึ่งบอกตามตรงว่าแรกๆ ยังไม่รู้ว่าดูอย่างไร? และถ้าไม่ดูจะเป็นอะไรไหม? แต่พอได้ลองขับดูสักพักก็เข้าใจแล้วว่ามันทำงานอย่างไร สรุปคือลืมไปซะมาตรวัดรอบ รถคันนี้ไม่ต้องใช้ ถ้ามันสวิงขึ้นไปสูงๆแสดงว่า มันไม่ประหยัดแล้วก็เท่านั้นเอง

ด้ามรูปโฉมโนมพรรณ นี่เป็นแคมรี่ 100% ในทุกกระเบียดนิ้ว ประเภทไม่เรียกร้องความสนใจแต่ก็ดูลงตัว แต่ในรุ่นไฮบริดแตกต่างด้วยการเล่นสีไฟหน้า (ที่มาพร้อมระบบปรับมุมลำแสงตามองศาพวงมาลัย)และไฟท้าย ในแบบใสปิ้ง ร่วมกับสีอมฟ้านิดๆ ดูแล้วหรูหราเหมือนทำจากพลอยแซฟฟายร์ (ถ้าเป็นคอสุราก็ต้องว่า เหมือนสีขวด บอมเบย์แซฟฟายร์ ไปนั่น) ซึ่งให้ความรู้สึกสะอาด บริสุทธิ์ และ “พิเศษ” กว่ารุ่นทั่วๆไปอย่างเห็นได้ชัด เรียกคะแนนไปได้พอสมควร อีกส่วนที่แตกต่างก็เห็นจะเป็น กระจังหน้าทรงเฉพาะรุ่น ไฮบริด ที่บอกตามตรงว่า “ผิดหวัง” เพราะไหนๆทั้งไฟหน้าและไฟท้ายก็ดูแสนจะสวยใสไฮเทค แต่กระไรกระจังหน้ากลับดูเหมือนจมูกแมวไปได้เยี่ยงนี้

ส่วนภายในห้องโดยสารนั้น หากไม่มองไปที่หน้าปัดก็อาจจะไม่สามารถแยกความแตกต่างออกจากรุ่นทั่วๆไปได้ เพราะแนวการเลือกใช้วัสดุแม้จะมีคุณภาพดี และตอบสนองการเดินทางได้ดีเยี่ยม (ระบบระบายอากาศที่เบาะคู่หน้าลดการเหงื่อออกได้ดี) แต่ก็ยังคงเป็นรูปแบบจำเจเหมือนทั่วๆไป น่าเสียดายระคนแปลกใจที่โตโยต้ายังคงเลือกที่จะใช้วัสดุลายไม้ที่ดู “อนุรักษ์นิยม” กับรถที่ควรจะดู “ล้ำ” เช่นแคมรี่ไฮบริดคันนี้อยู่ ในขณะที่การออกแบบภายนอกนั้นดูทำคะแนนได้ดีในเรื่องสีสันและรายละเอียดที่แตกต่าง แต่ภายในกลับถูกละเลย

ในคันที่ทดสอบติดตั้งระบบนำทางด้วยดาวเทียมเอาไว้ด้วย ผมคิดว่าอินเตอร์เฟซ (Interfaced) ออกจะใช้งานยาก อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยใช้ระบบของโตโยต้ามาก่อนก็เป็นได้ ถ้าผู้ออกแบบระบบสามารถทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่านี้ก็คงจะดีไม่น้อย เพราะแม้จะสื่อสารเป็นภาษาไทยก็ยังงงกันทั้งรถอยู่ดีว่าจะยกเลิกระบบนำทางกันอย่างไร เรียกได้ว่าระบบ ไอไดรพ์ ของบีเอ็มดับเบิ้ลยูกลายเป็นของกล้วยๆไปเลย

สรุป ถ้าคุณไม่กลัวเทคโนโลยี นี่ล่ะใช่เลย

ไม่มีความคิดเห็น: