วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เมอร์เซเดส เบนซ์ F 800, วิสัยทัศน์แห่งอนาคตที่ไม่ไกลเกินรอ







รู้สึกว่าระยะนี้ค่ายดาวสามแฉกจะมือขึ้น ไม่ว่าจะปล่อยรถอะไรออกมาสู่สาธารณชนดูจะโดนตาโดนใจไปเสียทั้งนั้น ผลงานล่าสุด คอนเซ็ปต์ เอฟ 800 (F-800) นี้ก็เช่นกัน รถต้นแบบคันล่าสุดคันนี้มาในรูปทรงของซีดาน 4 ประตูแบบฮาร์ทอปที่มีรูปทรงแบบรถคูเป้สองประตูที่มีฐานล้อยาวแต่โอเวอร์แฮงค์หน้าและหลังสั้นมาพร้อมกับขนาดตัวที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กด้วยความยาวรวม4.8 เมตร และยังนำเสนอไวยากรณ์การออกแบบที่เชื่อได้ว่าจะเป็นแนวทางใหม่ที่เมอร์เซเดส เบนซ์จะนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นต่อไปแน่นอน (ถึงตรงนี้ผู้เขียนอยากจะให้ท่านผู้อ่านลองเดาในใจดูว่าจะเหมือนกับที่ผู้เขียนคิดไว้หรือไม่แล้วจะมาเฉลยว่าที่คิดไว้นั้นตรงกันหรือไม่อย่างไรในช่วงท้ายนะครับ)
นอกจากรูปทรงแนวไบโอนิคที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติที่ทำให้ เอฟ 800 มีรูปทรงที่พริ้วไหวราวกับมีชีวิตจิตใจ(ดูจะเดินตามทางที่ บิเอ็มดับเบิ้ลยูเคยกรุยทางไว้แต่ก็ถอดใจในที่สุด) แตกต่างไปจากแนวทางของเมอร์เซเดสร่วมสมัยที่เน้นเส้นสายที่คมเป็นเหลี่ยมสันแล้ว เอฟ 800 ยังได้นำเสนอแนวทางของไฟหน้าแบบ แอลอีดี ที่สามารถบอกกับค่ายเอาดี้ได้ว่า มาทีหลังอาจจะดังกว่า นอกจากนี้ยังนำเสนอรูปแบบของเครื่องยนต์ที่พร้อมจะให้เลือกใช้งานได้จริงถึงสองแนวทางคือ แบบไฮบริดปลั้กอินที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี 6 แบบไดเร็คอินเจคชั่น ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียม-อิออน (ที่เมอร์เซเดส เคลมว่า เมื่อทำงานทั้งสองระบบพร้อมกันจะสามารถสร้างแรงม้าได้เกิน 400 แรงม้าทีเดียว)และยังสามารถชาจน์ไฟบ้านได้ด้วย กับอีกแนวทางหนึ่งคือ แบบเซลเชื้อเพลิงไฮโดรเจน เรียกได้ว่าแผนแบบของรถ เอฟ 800 นี้รองรับทิศทางพลังงานในอนาคตไว้อย่างพร้อมพรั่งไม่ว่าโลกจะหมุนไปทางใด หรือพื้นที่ไหนนิยมระบบพลังงานใดรถ เอฟ 800 ก็สามารถปรับตัวเข้ากับแนวทางของพื้นที่นั้นได้อย่างลงตัว
ส่วนการออกแบบภายในนั้น มีการนำเอาเทคนิคการขึ้นรูปวีเนียร์ไม้แบบ 3 มิติ เข้ามาใช้โดยออกแบบให้โอบล้อมบริเวณผู้โดยสารตอนหน้าไว้จากประตูซ้ายจรดประตูขวา แม้จะให้ความรู้สึกที่หรูหราจากการใช้วีเนียร์ไม้ธรรมชาติแต่ก็ยังดูแล้วเร้าอารมณ์ด้วยการเล่นเส้นสายที่โอบล้อมแบบที่ไม่เคยเห็นจากเมอร์เซเดสรุ่นอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีการนำเอาระบบยูสเซอร์อินเตอร์เฟสแบบสัมผัสที่เชื่อว่าจะทำให้การใช้งานง่ายขึ้น โดยใช้งานแทนที่ระบบจอยสติ้กแบบเดิม (นำเสนอโดย บีเอ็มดับเบิ้ลยูเป็นเจ้าแรก) โดยผู้โดยสารและผู้ขับขี่จะทำการลากนิ้วของตนเองผ่านไปบนทัชแพด (เหมือนกับบนเครื่องไอโฟน)แล้วภาพของ “นิ้ว”แบบกึ่งใสของท่านจะไปปรากฏขึ้นบนจอภาพที่ตั้งอยู่เหนือคอนโซลโดยที่ท่านไม่ต้องสัมผัสจอภาพแต่อย่างใด น่าสนใจทีเดียวสำหรับแนวคิดนี้แต่ผู้เขียนเชื่อว่าระบบแบบเดิมๆน่าจะดีและปลอดภัยดีอยู่แล้ว
อย่างที่กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่ารถคันนี้ดูจะได้พัฒนาให้เป็นรถที่มีการจำหน่ายจริงแน่ๆ เพราะทุกอย่างดูพร้อมพรั่งสำหรับการปรับให้เป็นรถจริงอยู่แล้ว และในมุมมองของผู้เขียนมั่นใจอย่างมากกว่าในไม่ช้าเราน่าจะได้เห็นรถต้นแบบ เอฟ 800 ได้รับการพัฒนาให้เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของ รถซีดานทรงคูเป้คันเก่งของเมอร์เซเดส เบนซ์ที่รู้จักกันในชื่อของ ซีแอลเอส (CLS) นั่นเอง เพราะรายละเอียกต่างๆทั้งหมดนั้นชี้นำไปทางนั้นอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ท่านผู้อ่านล่ะครับเห็นเหมือนที่ผู้เขียนหรือไม่ครับ?

MINI made in Japan!





จั่วหัวมาแบบนี้ อ้วนซ่า ไม่ได้หมายความว่า “มินิ” จากประเทศอังกฤษจะย้ายไปผลิตในญี่ปุ่นแต่อย่างใดนะขอรับ แต่อ้วนซ่า หมายความถึงรถยนต์จิ๋วคันหนึ่งที่อ้วนซ่าได้ทดลองขับเมื่อเร็วๆนี้แล้วประทับใจเอามากๆ เพราะอยากจะบอกกันตรงๆเลยว่า “มินิ” น่ะน่าจะดูรถคันนี้เป็นตัวอย่าง เพราะ จริงอยู่ว่าถ่ายทอดพันธุกรรมด้านภาพลักษณ์จากรุ่นบรรพบุรุษมาได้อย่างหล่อเหลา แต่คันมันใหญ่ “บะเร้อเท่อ!” เกินกว่าจะเรียกว่า “มินิ” ไปหลายช่วงตัวแล้วครับพี่น้อง
รถคันที่ “อ้วนซ่า”ประทับใจและเรียกมันว่า “มินิ เมดอินแจแปน” ก็คือ รถจากค่าย โตโยต้า รุ่น “ไอคิว (IQ)” นั่นเอง ที่เรียกมันว่า “มินิ เมดอินแจแปน” ก็เพราะทุกๆอย่างตอบรับกับความ “จิ๋ว แต่แจ๋ว” ไปทุกเรื่อง เริ่มต้นที่ขนาดสัดส่วน ที่ใกล้เคียงกับ “มินิ” รุ่นออริจินัลจากยุค 60 ด้วยความยาวของตัวถังนั้นเพียง 2,985 มม. สั้นกว่า “มินิ” รุ่นปัจจุบันกว่า 2 ฟุตเลยทีเดียว! แต่เห็นสั้นๆแบบนี้ เจ้า “ไอคิว” นั้นสามารถนั่งได้ถึง 4 คน (แต่คงไปไหนไกลมากไม่ได้ เพราะพื้นที่วางขาด้านหลังค่อนข้างแคบ) และพื้นที่ของผู้โดยสารและคนขับนั้นเรียกได้ว่า “สบายสุดๆ” ทั้งช่วงขา และพื้นที่ว่างเหนือศรีษะนั้นมีมาให้เหลือเฟือ แถมคอนโซลหน้ายังออกแบบได้อย่างเก๋ไก๋อีกด้วย
ด้านพละกำลัง ด้วยน้ำหนักตัวที่เบาเพียง 860 กิโลกรัม แม้จะใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กเพียง 1,000 ซีซี 68 แรงม้า พร้อมแรงบิด 90 นิวตัน/เมตร ก็เหลือเฟือในการพาเจ้าหนู “ไอคิว” ปรื้ดปร้าดขึ้นลงลานจอดรถชันๆของห้างสรรพสินค้าได้อย่างสะดวกโยธิน ไม่ต้อง “เรียก” ต้อง “เค้น” แต่อย่างใด ไปกันแบบ “สบายๆ ชิลล์ๆ” ส่วนด้านวงเลี้ยวนั้นด้วยความยาวฐานล้อเพียง 2 เมตรก็ไม่ต้องเดากันเลยว่าการขับในการจราจรคับคั่งที่ต้องมุดซ้ายป่ายขวา หรือการถอยเข้าซองนั้นเรื่อง “ขนม”
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าส่วนของผู้โดยสารตอนหน้านั้น หนู “ไอคิว” เค้าทำได้เริ่ดมากเพราะนักออกแบบใส่ใจในรายละเอียดสุดๆแม้ว่าจะไม่มีการหุ้มหนัง หรือวัสดุราคาแพง มีแต่เพียงพลาสติคเป็นองค์ประกอบหลักก็ทำได้อย่างมีรสนิยมมิได้ดูเป็นของถูกแม้แต่น้อย(เพราะมันไม่ถูก!) แต่พอเปิดฝากระโปรงท้าย แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าเล็กแน่ๆ แต่ยังสะดุ้ง เพราะหากนั่งเต็ม 4 คนจริงๆพื้นที่เก็บของคงใส่ได้แค่แฟ้ม! ต้องพับเบาะลงเท่านั้นถึงจะขนสัมภาระได้จริง แต่ไม่เป็นไรเพราะส่วนใหญ่คนที่ซื้อรถแบบนี้หลักๆก็คงขับคนเดียวไปไหนมาไหนกับหวานใจเท่านั้น ไม่ได้กะจะไปกันทั้งบ้านอยู่แล้ว ส่วนด้านความปลอดภัยนั้น “สุดเจ๋ง” เพราะเป็นรถจิ๋วที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยจากยุโรปถึงระดับ 5 ดาว เรียกได้ว่า ฝรั่งยังทึ่ง!
แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ได้สัมผัส แต่ต้องยอมรับว่าประทับใจอย่างยิ่ง แต่พอได้รับฟังราคาจากผู้นำเข้าอิสระ “อ้วนซ่า” ถึงกับ “ซ่า” ไม่ออกเพราะราคารวมภาษีนำเข้าและสรรพสามิตนั้นราว 1.4 ล้าน! โอ้นี่มันราคาเท่า “แคมรี่” นี่นา ตกลงว่าขอรอจนกระทั่ง “อีโคคาร์” ตัวจริงเสียงจริงมาก่อนจะดีกว่า เก็บเอาความประทับใจของ “ไอคิว” เอาไว้ในความทรงจำก็พอแล้วครับ!

คันเร่งวิปโยค(จริงหรือ?)

ปีนี้แรงจริงๆนะขอรับ ตั้งแต่เริ่มปีมาจนวันตรุษจีนในวันนี้ อ้วนซ่า ได้เห็น ได้ฟัง ได้สัมผัสเรื่องร้ายๆไม่หยุดไม่หย่อนต่างกรรมต่างวาระ (บางเรื่องก็ประสบการณ์ตรงเลยขอรับ) ล่าสุดที่ก็ได้เกิดกับวงการรถยนต์ก็คือ วิบากกรรมของโตโยต้า
นับจากปี 2008 ที่โตโยต้าได้ออกมาประกาศว่าผลประกอบการของตนเองขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษและผ่านไปเพียงหนึ่งปีเท่านั้นโตโยต้าออกมาประกาศว่าวิกฤตการทางการเงินของพวกเขาผ่านพ้นไปแล้วพร้อมกับประกาศว่ามีกำไรในปี 2009 วงการรถยนต์ต่างก็คิดว่าพวกตนได้เห็นจุดต่ำสุดแล้วและต่อไปนี้ก็จะเร่งชดเชยช่วงเวลาที่เสียไป แต่ดูราวกับว่าพระเจ้าจะกลัวชีวิตจะราบรื่นเกินไป จึงได้ส่งวิกฤตใหม่มาทดสอบความสามารถของผู้บริหารโตโยต้ากันอีกรอบก็คือ วิกฤตที่เกิดขึ้นกับระบบคันเร่ง อันส่งผลให้ต้องมีการแสดงความรับผิดชอบโดยเรียกรถที่จำหน่ายออกไปแล้วกลับเข้ามาเพื่อเปลี่ยนอะไหล่โดยไม่คิดมูลค่านั่นเอง
จะว่าไปเรื่องราวทำนองนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น เพราะต่างก็เกิดขึ้นกับรถยนต์ยี่ห้อต่างๆทั้งจากอเมริกาและยุโรปกันเนืองๆแต่ละครั้งก็ตกเป็นข่าวใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่ดูเหมือนว่าโตโยต้าโดนมากกว่าใครเพราะนอกจากจะเสียทรัพย์ไม่ใช่น้อยในการเปลี่ยนอะไหล่ให้กับรถที่เรียกกลับ และกับการเรียกความมั่นใจจากผู้บริโภคคืน แต่ต้องเสียมูลค่าหุ้นจำนวนมหาศาลไปกับการที่สื่อต่างๆประโคมข่าวซะโตโยต้าเละเป็นโจ๊ก ชะรอยสื่อตะวันตกคงจะรับ “ปัจจัย”จากค่ายรถยุโรปและอเมริกันไปพอสมควรถึงได้พร้อมหน้าพร้อมตาแทงแล้วแทงอีกไม่ให้โงหัวกันเลย ตรงข้ามกับสื่อของญี่ปุ่นเองที่ไม่ให้น้ำหนักกับเรื่องนี้มากนักแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องเล็กๆบนหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น เรียกว่างานนี้ค่ายรถตะวันตกต่างสบโอกาสที่จะหยุดความร้อนแรงของโตโยต้าไปได้อีกพักใหญ่
ต้นตอปัญหานี้อยู่ที่ระบบคันเร่งไฟฟ้า หรือที่เรียกกันว่า ไดร์พ บาย วาร์ย (Drive-By-Wire) ในระบบคันเร่งไฟฟ้านี้จะแตกต่างกับระบบคันเร่งแบบสายเคเบิ้ลดั่งเดิมที่เราใช้กันอยู่มาก เพราะระบบนี้จะไม่มีกลไกเชื่อมต่อกับลิ้นปีผีเสื้อของเครื่องยนต์เหมือนระบบสายเคเบิ้ลแต่ใช้การส่งแรงดันไฟฟ้าแทนซึ่งก็จะตอบสนองต่อการกดได้หลายรูปแบบและฉับไวกว่าแบบเคเบิ้ล แต่ในระบบนี้ก็จะมีการใช้กลไกที่ช่วยให้คันเร่งกระเด้งขึ้นลงอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับที่เราคุ้นเคยและกลไลเล็กๆนี้เองที่เป็นต้นตอของปัญหา! เพราะในรถบางคันพบว่าใช้ไปนานๆเข้ามันอาจจะฝืดและไม่กระเด้งกลับเร็วพอหรือพูดให้ง่ายเข้าก็คือคันเร่ง “หนืด” นั่นเอง ถามว่าร้ายแรงไหม? ก็มีบ้างแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เพราะหากเกิดขึ้น (กับรถคันไหนๆก็ตาม)สิ่งที่เราต้องทำก็คือ กดลงไปบนแป้น “เบรค” เพื่อนเก่าเท่านั้นเอง พอรถลดความเร็วลงมาแล้วก็ค่อยๆลดเกียร์ลง จนกระทั่งเป็นเกียร์ว่างในที่สุด (อย่าตกใจจนใส่เกียร์ถอยหรือเกียร์จอดขณะรถวิ่ง และอย่าดับเครื่องตอนรถวิ่งนะครับ เพราะหากทำลงไปก็เจอกันที่เมรุครับ) อ้วนซ่าขอชี้แจงว่า ไม่ว่ารถของท่านจะแรงขนาดไหน เบรคของรถท่านเอาอยู่หมดครับเชื่ออ้วนซ่าเถอะครับ
งานนี้ต้องพึ่ง “สติ” ครับ ไม่ว่าจะการรับสื่อว่า เรื่องมันใหญ่จริงหรือ และรวมไปถึงสติในการขับรถด้วยครับ เราอย่าเชื่อใจรถยนต์และระบบอิเล็คทรอนิคซะจนเกินไป ควรจะมีความรู้เรื่องพื้นฐานการทำงานของรถด้วยไม่ใช่ว่าเอะอะจะร้องกรี้ดท่าเดียว เพราะความรู้เรื่องพื้นฐานการทำงานรถนั้น เวลาฉุกเฉินได้ใช้งานขึ้นมาคุ้มยิ่งกว่าคุ้มนะครับ!

เก๋า เก๋า...






สวัสดีวันอาทิตย์กันอีกครั้งกับอ้วนซ่า แอบซิ่ง นะขอรับ ในสัปดาห์นี้ขอเล่าเรื่องรถนอกกระแสบ้าง อ้วนซ่าภูมิใจนำเสนอ สำนักแต่ง 2 สำนักด้วยกัน สำนักแรกก็คือ แนวอเมริกันย้อนยุคสุดเก๋าจากประเทศญี่ปุ่นที่มีนามกรว่า “ดรีม แฟคตอรี่ โบล์ว” (Dream Factory Blow) และ สำนัก โรดสเตอร์ การาจ (Roadster Garage) ผู้ชำนาญการแปลงรถใหม่ให้กลายเป็นรถย้อนยุคสุดเก๋าแบบที่เห็นแล้วต้องเปรี้ยวปากน้ำลายติดคอกันเลยขอรับ
อ้วนซ่า ได้พบกับผลงานของทั้งสองสำนักนี้มาสองสามปีแล้วในงาน โตเกียว ออโต้ ซาลอน งานแสดงสินค้าแต่งรถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกงานหนึ่ง โดยในปี 2010 นี้ สำนัก โบล์ว ได้นำเสนอ ผลงานที่มีชื่อว่า ไฮไรเดอร์ ปิคอัพ 660 ปิคอัพสไตล์อเมริกันสีแดงสลับขาวแสนน่ารักพร้อมล้อแม็กแบบจานแบนหน้าเต็มสุดเท่ห์ ดัดแปลงมาจาก รถเก๋งจิ๋วขนาด 660 ซีซี ไดฮัทซุ ลาแปง (Daihatsu Lapin) แม้ว่าจะไม่ได้คันบิ้กบึ้มเหมือนรถเชพวี่ ซี10 ของแท้จากยุค 60-70 ที่ทาง โบล์วใช้เป็นต้นแบบ แต่ก็ย่อส่วนลงมาได้น่ารักสมส่วนเรียกว่า เห็นแล้วคันกระเป๋าสตางค์เป็นอย่างยิ่ง คันอื่นๆของสำนักนี้ที่ผมชอบมากแต่ในงานไม่ได้โชว์ก็คือ รุ่น ปาปา ไรเดอร์ (Papa Rider) ที่ดัดแปลงมาจาก โตโยต้า คอมมิวเตอร์ รถตู้ยอดนิยมของคนไทย โดยได้จำลองภาพลักษณ์ของ รถตู้ ดอด์จ จากยุค 70 ได้อย่างลงตัวเก๋าสุดขั้วมาก โดยเฉพาะการตกแต่งภายในด้วยการใช้ไม้ปูพื้นทั้งหมด ให้บรรยากาศของนักเล่นกระดานโต้คลื่นจากคาร์ลิฟอร์เนียอย่างเต็มเปี่ยม ลองแวะเข้าเยี่ยมชมเว็บไซท์ของ ดรีม แฟคตอรี่ โบล์ว ได้ที่ www.blow-net.co.jp อาจจะอ่านไม่ออกเพราะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เชื่อได้ว่า ภาพรถดัดแปลงสุดเก๋าอาจจะทำให้คุณอยากจะแปลงรถเก่าเล่นสักคันก็เป็นได้
ส่วนอีกสำนัก คือ โรดสเตอร์ การาจ เจ้านี้เค้าชำนาญการแปลงรถอย่าง มาสด้า เอ็มเอ็กซ์ 5 รุ่นแรก และดัทสัน แฟร์เลดี้ 240 แซด (Datsun Fairlady 240Z) ยุค 70 ให้กลายเป็นสุดยอดอภิมหาอมตะยานยนต์ที่เหล่าคอรถญี่ปุ่นถวิลหา เพราะสวยอย่างไม่เกรงใจใครทั้งที่อายุอานามเกิน 40 ปี อย่าง โตโยต้า 2000จีที แถมสร้างมาน้อย (คูเป้ 337 คัน และเปิดประทุน 2 คันเท่านั้น) สำนักนี้เค้าเรียกขานรุ่น คูเป้ ว่า อากิ คูเป้ (Aki-Coupe)และรุ่นเปิดประทุนว่า โรดสเตอร์ ฮิโรชิ (Roadster Hiroshi)ฝีไม้ลายมือก็ต้องนับว่า “สุดๆ” เพราะถ้าตาไม่ถึงจริงก็อาจจะแยกไม่ออกว่าคันไหนของจริงคันไหนของแปลงเลยทีเดียว แต่สำหรับเราคนไทยที่แม้แต่รถอย่างดัทสัน แฟร์เลดี้ แบบเดิมๆ แค่ซากก็ยังหายากเอามากๆ ส่วนเจ้าเอ็มเอ็กซ์ 5 นั้นทั้งที่เก่าเกิน 15 ปี ก็ยังราคาแข็งปั๋ง เฮ้อ.....เรียกได้ว่าจะหารถก็ยากแล้วจะเอาไปแปลงได้อย่างไร ปัญหานี้ทางสำนัก โรดสเตอร์ การาจ ก็คงจะเข้าใจอยู่ก็เลยออกสินค้าใหม่ที่คาดว่าน่าจะมาแรงก็คือ ฮาโกะสเต (Hakoste) หรือลูกผสมระหว่าง สไตล์ของ สกายไลน์ รุ่นยุค 60 ที่แสนโด่งดังที่มีชื่อว่า ฮาโกซึกะ (Hagosuka) และโครงรถรุ่นใหม่เครื่องแรงทรงแวกอน นิสสัน สเตเจีย (Nissan Stagea)จากยุค 90 ปลายๆ สิ่งที่ได้ก็คือ รถที่ “เก๋าเจงๆ” คันหนึ่ง เพราะนอกจากจะได้สไตล์ย้อนยุคดูฮิพๆ แต่ก็ยังขับได้สนุกแบบรถรุ่นใหม่
เมืองไทยของเราว่ากันตรงๆก็ทำได้แน่นอนเพราะขึ้นชื่อเรื่องทักษะการแปลงของคนไทยนั้นไม่แพ้ชาติใดในโลก ถ้าใครเอาจริงทำรถสไตล์นี้ออกมา ผมขอเข้าคิวจองมาขับเล่นสักคันนะขอรับ (แต่ขอราคามิตรภาพนะขอรับ)

2 Getthere ต้นแบบของยานยนต์ไร้คนขับแห่งอนาคต





คุณอาจจะเคยชมภาพของเมืองแห่งอนาคตจากภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์โลกอนาคตจากฮอลลิวู้ดมาแล้วหลายๆเรื่อง และอาจได้เห็นจินตภาพของยานยนต์ไร้คนขับที่โลดแล่นไปบนถนนที่คับคั่งแต่กลับไร้ซึ่งอุบัติเหตุด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า คอมพิวเตอร์ไม่มีความ “ประมาท” เหมือนมนุษย์ ซึ่งถ้าหากให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานรับรองว่าเรื่อง “เมาแล้วขับ” นั้นตัดไปได้เลยเพราะคอมพิวเตอร์ไม่ดื่มแน่ๆ
มาบัดนี้จินตนาการจากนิยายวิทยาศาสตร์ได้เป็นความจริงแล้วด้วยวิสัยทัศน์ของรัฐบาลรัฐ อาบูดาบี (Abu Dhabi)แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรต์ ( United Arab Emirate)ในการที่จะสร้างเมืองแห่งอนาคตที่ปราศจาก คาร์บอน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เมืองที่ว่านี้มีชื่อว่า มาสดาร์ (Masdar City) โดยเป้าหมายของเมือง มาสดาร์ นี้คือภายในปี 2020 นั้นร้อยละ 7 ของการผลิตกระแสไฟฟ้าจะมาจากแหล่งกำเนิดที่ผลิตขึ้นมาใช้ใหม่ได้ หรือพูดให้ง่ายก็คือ พลังงานนั้นจะไม่ได้มาจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพียงอย่างเดียวเหมือนที่ทำกันในทุกวันนี้แต่อาจจะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ลม หรือน้ำนั่นเอง
โครงการเด่นของเมืองมาสดาร์อีกโครงการก็คือ ระบบขนส่งบุคคลด่วน หรือ พีอาร์ที (PRT, Personal Rapid Transit) ที่ได้ว่าจ้างบริษัท ทูเก็ตแดร์ (2 Getthere) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องงานระบบจากประเทศเนเธอร์แลนด์ทำการวิจัยและพัฒนา โดยทำการวิ่งนำร่องในวิทยาเขตของ สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งมาสดาร์ในรูปแบบของแท๊กซี่ไร้คนขับที่วิ่งกึ่งประจำทางก่อนที่จะขยับขยายออกไปวิ่งในตัวเมืองต่อไป
โปรเจค์ล้ำๆแบบนี้จะให้บริษัทไก่กาทำการออกแบบให้ก็ใช่ที่ งานนี้ตกเป็นของสุดเก๋าแห่งวงการการออกแบบรถยนต์ ที่ทำรถธรรมดาบ้านๆไม่ใคร่จะเป็นเท่าไร ลูกค้าของบริษัทนี้ก็แล้วแต่เป็นของล้ำๆ ไม่ว่าจะเป็น แอสตันมาร์ติน เฟอร์รารี่ มาเซอร์ราตี และสไปเกอร์ ใช่แล้วครับ บริษัทที่ว่านี้ก็คือ ซากาโต้ (Zagato) จากอิตาลีนี้เอง (แต่ซากาโต้เองก็เคยทำยานพาหนะเพื่อมวลชนมาเหมือนกัน ตัวอย่างหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้ก็คือ รถรางสุดเจ๋งแห่งเมืองมิลานนั่นเอง)
รถไร้คนขับแห่งอนาคตที่ซากาโต้พัฒนาขึ้นมานี้สามารถโดยสารได้ 6 คน ที่ให้บรรยากาศราวกับนั่งในห้องนั่งเล่นแสนสบาย และวิ่งด้วยพลังจากแบตเตอรี่ ลิเธียมอิออน ที่สามารถวิ่งต่อเนื่องได้ 3 ชั่วโมง และต้องกลับไปประจุไฟฟ้าต่ออีกหนึ่งชั่วโมง วิธีการใช้งานก็แสนสะดวก เพียงผู้โดยสารกดปุ่มเลือกที่หมาย เจ้ายานอัจฉริยะก็จะวิ่งไปยังที่ๆเลือกไว้และเมื่อส่งถึงที่แล้วก็จะกลับมาวิ่งในเส้นทางได้เองอีกครั้ง ส่วนเรื่องของการหลบหลีกอุบัติเหตุก็นับว่าเป็นหนึ่งในทักษะพิเศษของรถคันนี้ เพราะมันสามารถที่จะจับได้ว่ามีวัตถุใดอยู่ด้านหน้าในทิศทางที่จะก่อให้เกิดอันตรายและสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์สั่งการแม้แต่น้อย โดยมันจะจดจำตำแหน่งต่างๆจากจำนวนรอบหมุนของล้อ ประสานเข้ากับการจับตำแหน่งของแม่เหล็กที่ฝังลงไปบนพื้นถนนเพื่อช่วยให้รถสามารถควบคุมทิศทางการวิ่งได้อย่างแม่นยำ (แต่รถคันนี้วิ่งไม่เร็วหรอกนะครับ แค่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น)
คิดดูก็แปลกที่โครงการลดการใช้พลังงานน้ำมัน และลดมลภาวะจะมาเมืองเล็กๆที่มีพลังงานน้ำมันและเงินทองเหลือเฟืออย่างตะวันออกกลาง แต่คิดในทางกลับกันหากไม่ใช่เมืองที่รวยล้นฟ้าและกระหายที่จะทันสมัยอย่าง อาบูดาบี เราก็คงไม่ได้เห็นโปรเจคล้ำๆแบบนี้ และเมื่อหันมามองบ้านเราก็ไม่รู้ว่าอีกนานแสนนานขนาดไหนที่เราจะได้เห็นรถแบบนี้วิ่งในบ้าง เพราะแค่โครงการรถประจำทาง บีอาร์ที (BRT) ที่วิ่งจากสาทร ถึงถนนตก ก็รอกันจนเป็นนิ่วแล้วครับ!

มหกรรมยานยนต์แดนภารตะที่เราต้องจับตามอง!








รอคอยกันมานานสองนาน ในที่สุดก็เปิดเผยกันเสียที “อีโคคาร์” ที่รอคอย ถึงแม้บางคันจะยังเป็นเพียงรถแนวคิดแต่บอกตามตรงเลยว่า งานนี้มากันให้เห็นจะๆหลายต่อหลายคัน ใช่แล้วครับ! อ้วนซ่ากำลังเขียนถึง มหกรรมรถจิ๋วคัน ที่เปิดตัวกันในงาน นิวเดลี ออโต้ โชว์ 2010 ที่บอกตามตรงเลยว่า หลายๆคันน่าจะได้มาทำตลาดในบ้านเราเป็นแน่แท้ และบางคันบอกได้คำเดียวสั้นๆว่า “โดน!”
เริ่มกันที่ค่าย ฮอนด้า ที่เปิดตัวอีโคคาร์ 5 ประตูในรหัส 2CV ที่จิ๋วแต่ก็พร้อมไปไหนไปกัน 5 คน พร้อมรูปโฉมที่ “เฉียบคม” ลืมไปได้เลยว่าของถูกต้อง “จืด” “จ๋อง” และเพื่อนจะล้อว่าใช้ของถูก เพราะของราคาประหยัดในยุคนี้เค้าไม่ธรรมดาจริงๆลองลบรายละเอียดแวววาวในสไตล์รถต้นแบบออกไป จะพบกับรถจิ๋วที่สวยด้วยการเล่นมิติส่วนโค้งเว้าที่ผสานกับเหลี่ยมสันที่สลักเสลาอย่างเฉียบขาด ก่อให้เกิดมิติแสงเงาที่งดงามดูแล้วกระฉับกระเฉงทุกมุมมอง แต่ที่อ้วนซ่าชอบมากๆเห็นจะเป็นรูปทรงของกระจกหน้าต่างที่ดูสปอร์ตมากๆ ดูเผินๆราวกับเป็นรถ3 ประตู ดูแล้วอยากจะขอชมว่า ฮอนด้าได้สร้างสรรค์ผลงานที่ลงตัวและ โดดเด่นจนลืมไปเลยว่า นี่คือรถราคาประหยัด น่าจะถูกใจหนุ่มสาวมหาวิทยาลัยที่มองหารถยนต์คันแรก คุณพ่อ คุณแม่ที่รักหยอดกระปุกรอได้เลย ปีหน้ามาแน่นอน!
คันต่อไป ก็คือ อิติออส (Etios) จากค่ายโตโยต้า ว่ากันตามตรง อิติออสนี้แม้จะไม่ถึงกับ “เฉียบขาด” เหมือนกับฮอนด้า และค่อนข้างจะออกแนว “เดินทางสายกลาง” ด้วยรูปทรงที่ไม่ใคร่จะล้ำยุคออกจะเรียบๆจืดๆ ไม่จี้ดจ้าดเหมือนกับ รถจิ๋วของตนเองที่ขายในญี่ปุ่นและยุโรปอย่าง โตโยต้า ไอคิว (IQ) แต่ก็ดูหนักแน่นมั่นคง มีเนื้อมีหนัง น่าจะถูกใจนักขับแนวอนุรักษ์นิยม ที่กลัวของ “ล้ำๆ” และเน้นความคุ้มค่าคุ้มราคาเป็นหลัก มาด้วยกันทั้งแบบ 5 ประตูท้ายตัด และ 4 ประตูซีดาน โดยโตโยต้าตั้งเป้าว่าจะขายในอินเดียได้ปีละ 7 หมื่นคัน ก็ไม่รู้ว่าหากนำมาจำหน่ายเมืองไทยจะเปรี้ยงปร้างสักแค่ไหนนะขอรับ
ส่วนค่ายนิสสันนั้นยังแม้ไม่เปิดตัว นิสสัน มาร์ช (Nissan March) ในงานนี้เพราะตั้งเป้าจะใช้ งานมอเตอร์โชว์ในบ้านเราเป็นที่แรกที่จะเปิดตัวสู่สาธารณชน แต่เท่าที่ได้เห็นภาพหลุด ภาพปล่อย ของมาร์ชแล้ว เชื่อว่าน่าจะพอรับมือกับโตโยต้าได้ เพราะหน้าตาจืดๆพอๆกัน แม้จะบอกว่า พยายามเอาสไตล์ของรถอิตาเลียน และอังกฤษมาเป็นแรงบันดาลใจ กะให้ถูกใจทั้งหนุ่มทั้งสาวแต่ภาพรวมออกมาดูเชยๆไปนิด วันนี้อาจจะเร็วไปนิดที่จะฟันธง แต่ยังไงหากจะวัดกับฮอนด้าคิดว่างานนี้ “เหงื่อตกกีบ” แต่ด้วยราคา 3 แสนกว่าๆ ยังไงๆชื่อชั้นของนิสสันก็น่าสนกว่ารถจีน รถมาเลย์ อินโด แน่นอน
ไม่น่าเชื่อว่าหากเราจะตามเทรนด์ด้านรถยนต์ในนาทีนี้เราต้องมองไปยังประเทศที่เคยมีแต่จักรยานและวัวเดินเต็มถนนอย่างอินเดีย จะเป็นไปได้ไหมว่าทศวรรษหน้า เราจะต้องตามว่า เวียดนาม หรือเขมรเค้าขับอะไรแล้วเท่ห์ เราจะได้ขับบ้าง เฮ้อ....นึกแล้วก็เหนื่อยใจขอรับ

FREED เด่นในทุกรายละเอียดการใช้งาน






ฮอนด้า ฟรีด คำตอบใหม่ที่ชาญฉลาด และสร้างสรรค์ ได้ฉีกกรอบความคิดเดิมๆเกี่ยวกับรูปแบบการใช้รถยนต์ในชีวิตครอบครัวออกโดยสิ้นเชิง ด้วยแนวคิด ที่ว่า มันจะเป็นอย่างไรถ้า เราจะมีรถที่ “เล็ก” ในมิติ แต่ “มาก” ไปด้วยความเป็นไปได้? ผลลัพธ์ก็คือ “รถยนต์แบบอเนกประสงค์ขนาดคอมแพคท์” แบบขับเคลื่อนล้อหน้า ขนาด 7 ที่นั่ง ที่มีการเรียงที่นั่ง 3 แถว ในแบบ 2-2-3 ในขนาดตัวกระทัดรัด ซึ่งสั้นกว่ารถเก๋งขนาดกลางอย่างฮอนด้า ซีวิค ถึง 20 เซ็นติเมตร แต่กว้างกว่า ฮอนด้า แจ๊ส เพียง 5 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้ ฮอนด้า ฟรีด ใหม่ คล่องแคล่วต่อการสภาพการจราจรในเมืองมาก เมื่อรวมเข้ากับจุดเด่นที่แตกต่างจากรถอื่นใดก็คือ มิติด้านความสูง ซึ่งสูงถึงถึง 1.735 เมตร ซึ่งสูงกว่ารถเอสยูวีอย่าง ฮอนด้า ซีอาร์วี ถึง 50 มิลลิเมตรทีเดียว พื้นห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้เรียบเสมอกันตั้งแต่หน้าจนถึงท้ายรถ และเมื่อบวกกับความสูงของห้องโดยสารจากพื้นถึงเพดานที่มีมากถึง 1.265 เมตร ทำให้ผู้โดยสารสามารถลุกจากเบาะหน้าย้ายไปเบาะหลังได้อย่างสบายเลยทีเดียว และเมื่อรวมกับพื้นห้องโดยสารที่สูงจากพื้นภายนอกเพียง 410 มิลลิเมตร ช่วยให้การเข้าและออกจากรถสะดวกเป็นอย่างยิ่ง ในส่วนของประตูด้านหน้าได้รับการออกแบบให้เปิดได้กว้างสุดถึง 920 มิลลิเมตร กว้างที่สุดในรถขนาดใกล้เคียงกัน รวมไปถึงประตูหลังแบบบานสไลด์ทั้งบานซ้าย และขวา ซึ่งสามารถเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าจากรีโมลคอนโทรล ช่วยให้การเข้าออกห้องโดยสารในบริเวณที่มีพื้นที่คับแคบ ทำได้อย่างสะดวกและปลอดภัย และ จากการออกแบบตำแหน่งที่นั่งให้อยู่สูงในระดับเดียวกับเก้าอี้นั่งในบ้าน ทำให้นั่งได้สบายราวกับอยู่ในห้องนั่งเล่นที่โก้เก๋ทันสมัย นอกจากนั้นพื้นที่กระจกยังเปิดกว้างให้ทัศนวิสัยที่กว้างไกลเหนือกว่ารถเก๋งแบบทั่วๆไปมาก
จุดเด่นของการออกแบบภายในอีกประการก็คือ การ เลือกใช้คอนโซลหน้าแบบ 2ชั้น ซึ่งประกอบด้วยคอนโซลด้านบน “ทรงเว้า” ลากยาวจากซ้ายจรดขวาช่วยให้พื้นที่ของผู้โดยสารตอนหน้าดูกว้างขวาง ส่วนของคอนโซลล่าง “ทรงนูน” ที่กว้างและเรียบคล้ายกับเคาร์เตอร์บาร์น่าจะถูกใจผู้โดยสารและผู้ขับที่ชื่นชอบการตกแต่งประดับประดาห้องโดยสารด้วย “ของรักของหวง” ทั้งหลาย และก็ยังสามารถวางอาหารและเครื่องดื่มได้อย่างสบายๆอีกด้วย
ในส่วนของผู้โดยสารในแถวที่ 2 ได้รับการออกแบบให้เป็นแบบ “ที่นั่งของกัปตัน” (Captain’s Seat) ที่มีปีกเบาะนั่งโอบกระชับเพิ่มความสบาย และยังมีทัศนวิสัยที่โปรงสบายกว่าการนั่งรถเก๋งทั่วๆไปมาก เมื่อรวมเข้ากับการเปิดพื้นที่ส่วนกลางเป็นทางเดินไปสู่ที่นั่งแถวที่ 3 ทำให้เบาะซ้ายและขวาแยกจากกัน ไม่ต้องนั่งเบียดกัน และยังสามารถปรับมุมเอียงนอนได้ตามใจชอบ สามารถผ่อนคลายความเมื่อยล้าในการเดินทางได้เป็นอย่างดี ส่วนที่นั่งแถวที่ 3 นั้นหากต้องการบรรทุกสัมภาระเพิ่มเติมพิเศษก็สามารถพับเบาะขึ้น ซึ่งจะได้ปริมาตรบรรทุกถึง 670 ลิตร เทียบเท่าการบรรทุกถุงกอล์ฟถึง 4 ถุง หรือกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ถึง 3 ใบ เรียกได้ว่าตอบโจทย์คนรักเพื่อน และรักครอบครัวได้อย่างตรงประเด็น
ด้วยข้อดีนานัปประการ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ฮอนด้า ฟรีด ใหม่ จะสามารถทำยอดจำหน่ายในญี่ปุ่นได้ถึง 77,000 คันในปีที่เปิดตัว และคว้ารางวัล “รถยนต์ทรงคุณค่า” หรือ “Best Value” จากการจัดรางวัล รถยนต์แห่งปี ประจำปี 2008-9 ของประเทศญี่ปุ่น ไปได้อย่างไม่เกินความคาดหมาย

บีเอ็มดับเบิ้ลยู ซีรี่ย์ 5 ใหม่ หล่อเหลา (แต่เดาง่ายไปหน่อย)






สัปดาห์นี้ขออณุญาตไม่เขียนถึงรถยนต์ต้นแบบ แต่อยากจะขอกล่าวถึงรถยนต์รุ่นใหม่ อย่าง บีเอ็มดับเบิ้ลยู ซีรี่ย์ 5 ใหม่ แทน เพราะรถรุ่นนี้ดูจะเป็นตัวแทนของการออกแบบภายหลังจากการจากไปของ “คริส แบงเกิ้ล” มหากูรูแห่งการออกแบบที่คุมบังเหียนด้านการออกแบบของค่ายบีเอ็มดับเบิ้ลยูกว่าทศวรรษได้ชัดเจนที่สุด จากอะไรๆที่เคยโลดโผนโจนทะยาน จากอะไรๆที่เคยก้าวล้ำนำใคร กลับจะต้องเดินช้าลง และเปลี่ยนแปลงไปสู่ “จิตวิญญานดั่งเดิม”ของบีเอ็มดับเบิ้ลยูอีกครั้ง และดูเหมือนบริษัทจะหันกลับมาผลิต “ไส้กรอกรสชาติเดียวกัน แต่ต่างกันที่ขนาด” เหมือนที่แบงเกิ้ลเคยปรามาสไว้เมื่อในอดีตว่าเป็นการกระทำที่ “น่าเบื่อ” และ “ไร้ซึ่งจินตนาการ” เข้าอีกครั้งจนได้
บีเอ็มดับเบิ้ลยู ซีรี่ย์ 5 ใหม่ แสดงถึงความพยายามที่จะกลับเข้าสู่วิถีดั้งเดิมที่เชื่อกันว่า เป็นวิถีแห่งบีเอ็มดับเบิ้ลยู แต่เดิมนั้น บีเอ็มดับเบิ้ลยู เป็นบริษัทที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ซึ่งขัดแย้งกับวิสัยทัศน์แห่งการเปลี่ยนแปลงที่ คริส แบงเกิ้ล เคยร่ายมนต์เอาไว้ หากจะเปรียบเป็นกาแฟ วิถีดั้งเดิมของ บีเอ็มดับเบิ้ล อาจจะเปรียบได้กับ กาแฟ เอสเพรสโซ่ รสเข้มที่คอกาแฟตัวจริงดื่มด่ำ และรื่นรมย์ไปกับความเข้มและขมอันเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่วิถีแห่ง คริสแบงเกิ้ลนั้นอาจเปรียบได้กับ บาริสต้าผู้สร้างสรรค์ “คาปูชิโน” ที่แสนงดงาม กลมกล่อม ด้วยการประสานกาแฟชั้นดี เข้ากับครีมและฟองนม แทรกด้วยกลิ่นจรุงใจของก้านอบเชย และยังรังสรรค์ลวดลายบนฟองนมอย่างวิจิตรบรรจง ได้ออกมาเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่ถูกอกถูกใจนักดื่มจำนวนมาก รวมถึงนักดื่มรุ่นใหม่ที่นิยมบริโภคทั้งด้วยลิ้นและสายตา แต่สำหรับคอกาแฟอนุรักษ์นิยมแล้ว รสชาติ กลมกล่อม หอมมัน พร้อมด้วยภาพอันวิจิตรบรรจงอย่าง “คาปูชิโน”นั้น กลับมิใช่วิถีแห่งกาแฟที่แท้จริงสำหรับพวกเขา
ในนาทีนี้คงจะเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า วิถีอนุรักษ์นิยม กับวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงของ แบงเกิ้ลนี้ วิถีใดเป็นวิถีที่เหมาะสมกับ บีเอ็มดับเบิ้ลยูที่สุด เพราะต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่หากจะวิจารณ์รูปทรงของซีรี่ย์ 5 ใหม่ ก็คงจะต้องกล่าวว่า นี่เป็นรถยนต์ที่มีความลงตัวระหว่าง ความพริ้วไหวของแสงเงา และความสง่างามของสัดส่วน ในแบบที่ดูราวกับย่อลงมาจากรถรุ่นซีรี่ย์ 7 ทำให้ซีรี่ย์ 5 ใหม่นี้ดูลงราวกับ นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ในชุดสูท แบบ“สั่งตัด” แนวอนุรักษ์นิยม ที่สัดส่วนพอดีตัวผู้ใส่ ที่ไม่มีอะไรขาดและเกิน แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะให้พูดมาก เพราะมันไม่ใช่สูทแนวล้ำแบบดีไซเนอร์ดัง การขาดลูกเล่นทางการออกแบบไปพอสมควรและไม่ได้ทิ้งประเด็นอะไรไว้ให้ตั้งคำถามทำให้ออกจะเป็นรถที่ “เดาง่าย” เหมือนกับการออกแบบในยุคอดีต
แต่หากจะให้มองในแง่ดีก็คงจะเป็น อย่างน้อยๆ ก็ยังดีที่ว่า ซีรี่ย์ 5 ใหม่นี้ ไม่ได้มีรูปร่างน่าฉงนฉงายเหมือนกับ รุ่นซีรี่ย์ 5 จีที (5 series GT) ที่เคยนำเสนอไปแล้ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ผมคงจะต้องลบชื่อของ บีเอ็มดับเบิ้ลยู ออกจากสารบบความคิดรถสวยของผมอย่างแน่นอน ส่วนวันนี้จะชอบ หรือไม่ชอบแนวคิดใหม่ก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่า “ซักพักก็ชินไปเอง”

ฉลาม(ไม่)บุก!






สวัสดีวันอาทิตย์กันอีกครั้งกับ อ้วนซ่า แอบซิ่ง เจ้าเก่านะขอรับ เชื่อว่าผู้อ่านของอ้วนซ่า หลายๆท่านคงได้ไปเยี่ยมเยือนงานมหกรรมยานยนต์ 2009 กันมา และน่าจะได้มีโอกาสยลโฉม หรือทดลองขับ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ กันไปบ้างแล้ว เผลอๆอาจจะวางเงินจองกันไปเสียแล้วด้วยซ้ำ เพราะว่ากันตามตรงด้วยบุคลิกการออกแบบที่ดูคมเฉียบ ในสไตล์ “หน้าฉลาม” ของรถรุ่นนี้มันกระตุ้นต่อมอยากของผู้บริโภคได้ชงัดนัก แม้กระทั่งอ้วนซ่าเองยังต้องแอบเหลียวมองอยู่บ่อยๆเวลาเห็นเจ้าหน้าฉลามวิ่งอยู่บนท้องถนน
มิตซูบิชิเองก็รู้ดีว่า ดีไซน์แบบหน้าฉลามของตนนั้นมา “ถูกทาง” เพราะนอกจากหล่อบาดตา โดนใจทั้งหญิงสาวชายหนุ่มแล้ว ยังมีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนรถยี่ห้ออื่นๆ ก็เลยถือโอกาสถ่ายทอดพันธุกรรม “โหด” ของฉลามร้ายไปสู่รถรุ่นอื่นๆในแบบ “ไมเนอร์เชนจ์” กันเป็นรุ่นๆไป ไม่ว่าจะเป็น เอสยูวี ที่เน้นสมถรรนะการขับขี่อย่าง เอาท์แลนเดอร์ (Outlander) ที่วางตำแหน่งทางการตลาดในระดับเดียวกับ ซูบารุ ฟอร์เรสเตอร์ (Subaru Forester) เอาท์แลนเดอร์นั้นแต่เดิมก็เป็นรถที่ขับขี่ได้ดี หน้าตาหล่อเหลาพอประมาณ แต่กลับไม่ค่อยมีใครจำหน้าได้ แต่พอเอาหน้าฉลามใส่เข้าไปก็เปลี่ยนจากรถที่เคยไม่มีใครจำหน้าได้ไปเป็น ฉลามเสือทางฝุ่น ที่น่าเกรงขามได้ทันที หรือ เจ้าม้าหนุ่ม สปอร์ตคอมแพ็คที่แฟนๆชาวไทยน้อยคนนักจะได้สัมผัสอย่าง มิตซูบิชิ โคลท์ (Colt) คู่แข่งโดยตรงของ แจ๊ส ยาริส และ มาสด้า 2 ที่พอเอาหน้าฉลามใส่ไปปั้บ เจ้า โคลท์ก็หล่อแบบไม่เกรงใจใครเอากันได้ง่ายๆ เรียกได้ว่าหากเจอกันมีหวังเจ้าสามคันนี้มีเสียวท้องน้อยไปตามๆกัน
และหลังจากที่ได้รับการแปลงโฉมเป็น ฉลามน้อย ฉลามใหญ่ กันไป มิตซูบิชิก็ขอปล่อยของดี “อีกรอบ” ในชื่อของ มิตซูบิชิ อาร์วีอาร์ (RVR) เอสยูวี ขนาดกระทัดรัด ที่วางตัวไว้ในขนาดที่ย่อมกว่า เอสยูวี ที่เรารู้จักกันทั่วๆไปอีกนิด ด้วยความยาวของตัวถังเพียง 4.3 เมตร สั้นกว่า เอาท์แลนเดอร์ กว่า 365 มิลลิเมตร และมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาดย่อมๆ 1.8 ลิตร ที่มิตซูบิชิแจ้งว่า อาร์วีอาร์ นั้นจะวางจำหน่ายในหลายๆทวีป อาทิ อเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเซีย แต่ไม่รู้ว่าแจ่มๆจี้ดๆ แบบนี้จะมีโอกาสตกถึงมือชาวไทยเมื่อไร หรือบางทีก็อาจจะเป็นเพียงฝันค้าง เพราะตัวอย่างก็เห็นกันมาแล้วบ้างกับ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ที่ปล่อยให้เราชะเง้อชะแหง่งคอยมาเกือบ 3 ปี หลายๆคนก็เปลี่ยนใจหันไปคบกับรถยี่ห้ออื่นกันไปแล้ว
เห็นกันแบบนี้แล้วก็นึกน้อยใจนะครับ เพราะรถยนต์ยุคใหม่ของค่ายตราเพชร มิตซูบิชิ เค้าได้ใจจริงๆ แต่เหมือนผู้บริหารเค้านอกจากจะติดปัญหาทุนทรัพย์ที่ทำให้ไม่สามารถผลิตรถได้หลายรุ่นแล้วก็ดูจะใจไม่ค่อยถึง ทำให้พวกเราคนบ้ารถได้แต่น้ำลายยืดเหนียวกันไปก่อน ฝันกลางวันไม่รู้กี่รอบจะได้เห็นตัวจริงกันบ้างหรือไม่ก็ได้แต่ลุ้นกันไป แต่สำหรับอ้วนซ่าแล้ว รักจริง รอได้ครับ!

คนจะซื้อรถ เค้ามองหาอะไรกัน?

อันนี้จำไม่ได้ว่าคัดมาจากที่ใดแต่เป็นข้อมูลที่น่าสนใจเหมือนกัน ต้องขออภัยเจ้าของบทความไว้ ณ.ที่นี้


ข้อมูลจากผลการสำรวจ TAQA 2009 ชี้พฤติกรรมผู้ใช้รถ 5 ประเด็นหลัก สะท้อนความคิดเห็นที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ

การสำรวจ “ธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม” หรือ TAQA 2009 ได้ขยายผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้รถทั่วประเทศออกมาเป็นข้อมูลทัศนคติ พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2552 ชี้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาทางการเมือง ส่งผลการตัดสินใจซื้อรถเปลี่ยนเมื่อเทียบกับปี 2551 พร้อมแสดงสถิติค่ายรถพัฒนาคุณภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะสภาพปัญหาด้านเสียง ประสิทธิภาพเครื่องยนต์ ระบบควบคุมการขับขี่ ความเรียบร้อยของการประกอบรถยนต์ลดลง 10% ส่วนความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ยังดีขึ้นต่อเนื่องสูงถึง 50%

นายสุกิจ ตันสกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัท คัสต้อม เอเซีย จำกัด ผู้ดำเนินการสำรวจความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทรถยนต์ยี่ห้อ ต่างๆ เปิดเผยว่า รางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม หรือ THAILAND AUTOMOTIVE QUALITY AWARD 2009 หรือ TAQA 2009 (อ่านว่า ทา-ก้า) จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 8 แล้ว แต่ในปีนี้จะพิเศษกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา โดยขยายผลจากการสำรวจและรวบรวมประสบการณ์จริงของผู้ใช้รถกว่า 6,500 รายทั่วประเทศ ประจำปี 2552 มาวิเคราะห์สรุปเป็นข้อมูลความคิดเห็น และพฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Report) เป็นครั้งแรกในปีนี้

จากผลการศึกษา สามารถสรุปปัจจัยบ่งชี้ถึงพฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Report) ออกเป็น 5 ประเด็นหลัก ดังนี้

1. พื้นฐานผู้ถูกสำรวจ
ได้แก่ อายุ อาชีพ และรายได้ พบว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศ ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนแนวคิดและพฤติกรรมในการเลือกซื้อรถ ที่เห็นได้ชัดคือ ที่ผ่านมาผู้บริโภคในกลุ่มภาคเอกชนจะมีโอกาสและกำลังซื้อสูงกว่ากลุ่มข้า ราชการ แต่ในปี 2552 นี้ สัดส่วนผู้ซื้อรถที่มาจากกลุ่มราชการกลับสูงขึ้น สาเหตุเกิดจากรายได้ของกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นข้าราชการได้รับผลกระทบจากภาวะ เศรษฐกิจถดถอยน้อยกว่ากลุ่มผู้ประกอบอาชีพอื่นๆ

จากข้อมูลดังกล่าว นายสุกิจให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “หากพิจารณาตามกลุ่มอายุ พบว่า ในปี 2552 ผู้ที่ซื้อรถโดยส่วนใหญ่อายุเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 31-50 ปี ส่วนรายได้ยังคงอยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อน คือ รายได้ต่อครัวเรือนโดยเฉลี่ย 100,000 บาท และมีรายได้ส่วนบุคคลเฉลี่ยอยู่ที่ 16,000 – 25,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ผลสำรวจยังสะท้อนให้เห็นว่าผู้ซื้อรถส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรถอยู่แล้ว 75% ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2551”

2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อรถ
การพิจารณาเลือกซื้อรถ ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อรูปลักษณ์และการออกแบบ รวมถึงความคุ้มค่าทางด้านราคา นอกจากนี้ ผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังมีความคาดหวังสูงจากความคุ้มค่าในการใช้งาน เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง ตลอดจนการรักษาสภาวะแวดล้อมโลก ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่นับว่ามีความสำคัญ คือ บริษัทรถยนต์สามารถสร้างความภักดีของลูกค้าที่ใช้รถยนต์ได้มากขึ้น โดยปีนี้คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 50% ของผู้ใช้รถที่จะเลือกซื้อรถยี่ห้อที่อยู่ในใจ โดยไม่ทำการเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่นเลย นับได้ว่าเป็นเกราะคุ้มครองที่สำคัญในการรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ไม่ให้ถูก ช่วงชิงไป โดยคู่แข่ง

3. แหล่งข้อมูลต่อการตัดสินใจซื้อรถ
พบว่า ผู้ใช้รถมีความพิถีพิถัน ให้ความสำคัญกับการเลือกรถยนต์ที่ใช้เป็นอย่างมาก ประสบการณ์จากการใช้โดยคนที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะบุคคลใกล้ชิดจะมีความสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อรถมากที่สุด รองลงมาจะรับฟังข้อมูลจากผู้ที่มีประสบการณ์ใช้รถมาก่อน นอกจากนี้ ในปัจจุบัน อินเตอร์เน็ต/เว็บไซต์ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญแทนที่การโฆษณาทางโทรทัศน์มากขึ้น

4. ความกังวลหรือประสบปัญหาด้านคุณภาพรถยนต์
เมื่อกล่าวถึงคุณภาพของ รถยนต์ในปี 2552 พบว่า ผู้ผลิตได้ให้ความสำคัญ และประสบผลสำเร็จต่อการปรับปรุงคุณภาพรถยนต์มากขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าสภาพปัญหาหลักๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวรถยนต์ยังเป็นเช่นเดียวกับผลสำรวจเมื่อปี 2551 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสียง ประสิทธิภาพเครื่องยนต์ ระบบควบคุมการขับขี่ และความเรียบร้อยของการประกอบรถยนต์ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ความพยายามของผู้ผลิตในการปรับปรุงคุณภาพรถยนต์ในปี 2552 ให้สูงขึ้นกว่าเดิม ได้ส่งผลให้ปัญหาดังกล่าวลดลงโดยเฉลี่ยถึง 10%

นายสุกิจ กล่าวต่อว่า “จากผลการสำรวจทำให้ทราบว่า ผู้ใช้รถมีความคาดหวังให้บริษัทรถยนต์ทำการติดต่อกับผู้ใช้รถอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหลังจากการซื้อรถไปแล้ว ดังนั้น การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relation Management: CRM) จึงถือเป็นหัวใจและสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการรักษาลูกค้าให้คงไว้”

5. การบริการหลังการขาย
ผลสำรวจผู้ใช้รถกว่า 3,000 รายทั่วประเทศ บ่งชี้ให้เห็นว่า นอกจากคุณภาพการซ่อมรถ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับพนักงานรับรถที่มีความรู้และความชำนาญ สามารถเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นกับรถได้ชัดเจน และสามารถสื่อความให้คำแนะนำแบบที่ปรึกษามืออาชีพได้ รวมถึงความต้องการความสะดวกสบายของศูนย์บริการ จากความต้องการดังกล่าวส่งผลให้ค่ายรถหลายแห่งปรับมาตรฐานศูนย์บริการที่ เน้นสร้างความมีชีวิตในศูนย์บริการ โดยใส่สิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ เครื่องดื่ม อาหารว่าง มินิเธียร์เตอร์ อินเตอร์เน็ต Wi Fi ฯลฯ และท้ายสุดความรวดเร็วในการชำระเงิน

“ในปีนี้ ถือเป็นปีแรกที่นำข้อมูลจากการสำรวจมาสรุปเป็นพฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Report) โดยคณะผู้จัดทำเล็งเห็นว่า ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวสะท้อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาศักยภาพทาง ธุรกิจของบริษัทรถยนต์ เข้าถึงความต้องการผู้บริโภคอย่างแท้จริง และสำหรับในปีหน้า 2553 เราเชื่อว่า Consumer Report จะพัฒนาและชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงตลาดเพิ่มขึ้นในอีกหลายๆ ด้าน รวมถึงจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ใช้รถแน่นอน” นายสุกิจ กล่าวเสริมในช่วงท้าย

ราชินีแห่งสายลมและแสงแดด



สวัสดีวันอาทิตย์กันอีกครั้ง กับสมหนาวที่เอาแน่เอานอนไม่ค่อยจะได้ เพราะวันนี้ก็ดูไม่ค่อยจะรู้สึกว่าเป็นหน้าหนาวเท่าไร แต่หากเทียบกับเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้อากาศแถวๆ อำเภอวังน้อย ที่ผมไปเยี่ยมชมการแข่งขันรถยนต์ ที่สร้างโดยนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาที่จัดโดยสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย ณ.สนามทดสอบของบริดจสโตน วันนั้นลมเย็นได้ใจนั่งตากแดดทั้งวันไม่มีเหงื่อสักหยด หากไม่เหลือบไปเห็นหลังคาอุโบสถที่อยู่แถวนั้น ก็อาจหลงคิดไปว่ากำลังชมการแข่งอยู่ที่ญี่ปุ่นก็เป็นได้ ซึ่งในการแข่งนี้ทีมที่ชนะเลิศก็คือ ทีมชื่ออ่านยาก “ราพิดาเมนเต้” จากจุฬาฯ ที่แหวกด่านอรหันต์สุดเขี้ยวจากมหาวิทยาลัยอื่นๆไปได้อย่างฉิวเฉียด เรียกได้ว่า เด็กไทยยุคนี้ไม่ใช่เล่นๆกันทั้งนั้น และทีมที่ชนะก็จะได้ไปแข่งต่อในระดับนานาชาติที่ประเทศญี่ปุ่นในปีหน้าด้วย
แต่เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า กว่าผมจะไปถึงตัวสนามทดสอบแห่งใหม่ของ บริดจสโตนได้นั้นผมขับหลงเข้าไปในถนนลึกลับ ที่ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่สามารถระบุให้ใครทราบได้ว่าผมหลงไปถึงไหน รู้แต่ว่าถนนเส้นเล็กๆแถวๆสระบุรี อยุธยา ที่วิ่งตัดทุ่งนาในวันนั้น ผมเปิดหน้าต่างรับลมเย็นๆเข้ามาในรถอย่างแสนเพลิดเพลิน จนแทบจะลืมไปว่าผมต้องรีบไปชมการแข่ง ประสบการณ์ในวันนั้นทำให้ผมฝันกลางวันไปถึงการขับรถเปิดประทุนคันเล็กๆที่ขับสนุก อย่างมาสด้า เอ็มเอ็กซ์5 ในถนนเส้นเล็กๆที่คดเคี้ยวเหล่านั้น มันคงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย
และเมื่อเอามาคุยกับบอสหนุ่มของเดลินิวส์ คุณต้น พิสิษฐ์ เหตระกูล ท่านก็ออกไอเดียถึงรถเปิดประทุนคันที่ชอบมาคันหนึ่ง ชื่อของมันคือ มิตซูโอกะ ฮิมิโกะ (Mitsuoka Himiko) ขึ้นชื่อว่า มิตซูโอกะ เชื่อขนมกินได้เลยว่าหน้าตาต้องย้อนยุคสไตล์อังกฤษ และก็เป็นไปตามคาด ฮิมิโกะ หรือหากจะแปลเป็นไทยก็คือ ราชินี นั้นมีรูปทรงละม้ายไปทางรถแบรนด์ มอร์แกน สปอร์ตสุดเก๋าทำมือจากประเทศอังกฤษ (ที่ว่าเก๋า เพราะมอร์แกนรุ่นดั่งเดิมโครงรถทำจากไม้นะขอรับ) ซึ่งหากไม่มีจิตลำเอียงก็ต้องยอมรับว่า ราชินี ของมิตซูโอกะคันนี้ดู “โรแมนซ์”ได้ใจไม่ใช่เล่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมองให้ลึกๆเข้าก็พบว่า ฮิมิโกะนั้นมีจุดร่วมกับรถสปอร์ตจิ๋วในดวงใจของผมอยู่เหมือนกัน เพราะมันคือรถที่ดัดแปลงขึ้นมาจาก มาสด้า เอ็มเอ็กซ์ 5 ซูม-ซูม ตัวเก่งนั่นเอง พูดแค่นี้ก็น่าจะพอจินตนาการได้ว่า ฮิมิโกะ ก็คือราชินีแห่งสายลมแสงแดดตัวน้อยๆ ที่น่าจะขับสนุกเอาการแถมยังดูกิ๊บเก๋ในสไตล์อังกฤษย้อนยุคถูกใจหนุ่มสาวที่ไม่ต้องการจะเหมือนใคร (ซึ่งหากตาไวก็ยังสามารถพบความเป็นอังกฤษที่แฝงอยู่ในรายละเอียดได้อีก ลองมองดูดีๆนะครับ ผมจะเฉลยว่ามันคืออะไรในตอนท้าย)
แบบอย่างของวิธีการสร้างสรรค์ของ มิตซูโอกะ ในการสร้างสินค้าที่มีเอกลักษณ์ ด้วยการอาศัยการออกแบบ โดยไม่ต้องลงทุนมากมายมหาศาลในการคิดค้นด้านวิศวกรรมนั้นนับว่าเป็นแนวโน้มของอุตสาหกรรมเล็กๆในประเทศที่ไม่ได้มีทุนทรัพย์มากมายในอนาคตเช่นกัน เพราะเมื่อถึงวันที่โลกนี้คราคร่ำไปด้วยของโหลราคาประหยัด ความเป็นเอกลักษณ์และเป็นตัวของตัวเองจะเป็นสิ่งที่หลายๆคน อยากจะไขว่คว้ามาครอบครอง และก็เป็นสิ่งที่ประเทศที่มีทุนทรัพย์จำกัดอย่างย้านเราน่าจะทำได้ดี
เริ่มต้นสบายๆแต่ลงท้ายแบบหนักๆไปได้อย่างไร อ้วนซ่า ก็งงเหมือนกัน ว่าแต่ว่าท่านผู้อ่านพบความเป็นอังกฤษในตัวของฮิมิโกะแล้วหรือยังครับ? (เฉลยครับ ดูที่ไฟหน้าสิครับ คุ้นไหมครับ ฮิมิโกะใช่ไฟของ มินิ คูเปอร์ จากอังกฤษครับ)

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

L.A. Design Challenge วิสัยทัศน์ หรือ ทางตันที่ยังหาทางออกไม่ได้







คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า ดินแดน หรือ พื้นที่ใดบนผืนโลกใบนี้ที่เหล่านักออกแบบรถยนต์ระดับมืออาชีพเขาใช้เป็นพื้นที่สำหรับสร้างสรรค์ผลงานแห่งอนาคต หรือจะพูดกันให้ง่ายๆว่าที่ๆเขาทำมาหากินกันส่วนใหญ่อยู่ที่ใดในโลก (คล้ายๆกับจะถามว่า เสือเบงกอล นั้นพบมากที่ใดในโลกนั่นแหละ) คำตอบนั้นไม่ยากเลยครับ พื้นที่นั้นก็คือ มหานคร ลอส แองเจลลิส หรือ แอลเอ จังหวัดที่ 77 ของพี่น้องชาวไทยนั่นเอง
ในเมืองแอลเอ นั้นว่ากันว่ามีประชากรของ นักออกแบบรถยนต์อาชีพหนาแน่นที่สุดในโลกครับ ด้วยปัจจุบันนับคร่าวๆก็จะพบสตูดิโอออกแบบของบริษัทต่างๆอยู่รวมกันก็กว่า 14 บริษัทเข้าไปแล้ว ทั้งบริษัทอเมริกัน ยุโรป และเอเซียต่างก็ยึดพื้นที่เป็นแหล่งพัฒนารถยนต์แห่งอนาคตกันทั้งนั้น เพราะเนื่องจากมีข้อดีนานัปประการ ไม่ว่าจะเป็นภูมิอากาศที่แจ่มแจ๋วตลอดปี อาหารการกินที่หลากหลาย ประชากรหลากเชื้อชาติในแบบฉบับมหานครที่แท้จริง และที่สำคัญที่สุดคือ แอลเอ นั้นเป็นที่ตั้งของสถาบัน Art Center College of Design (อาร์ต เซ็นเตอร์ คอลเลจ ออฟ ดีไซน์) ซึ่งเป็นสถาบันที่เหล่านักออกแบบชื่อดังของโลกส่วนใหญ่เริ่มต้นชีวิตการออกแบบที่นี่กัน (ผมเคยมีโอกาสได้เขาเยี่ยมชมสถาบันนี้ครั้งหนึ่ง ต้องยอมรับถึงความเข้มข้น เคี่ยวกรำของหลักสูตร และความมุ่งมั่นของผู้เรียน ที่ใจเกินร้อยไปหลายร้อยอยู่ เรียกได้ว่า ใครไม่สู้ก็ให้หลบไปไกลๆ เพราะงานหนักเกินจินตนาการ เด็กประเภทลูกแหง่ เรียนไม่ได้เด็ดขาด ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ซึ่งสามารถเรียกตัวเองได้ว่า จบ จากสถาบันนี้จะภูมิใจในศักดิ์ศรีของตนเอง หากจะเรียกก็อาจจะเรียกได้ว่า นี่คือ ฮาร์วาร์ด ของโลกยานยนต์นั่นเอง แต่ก็เป็นที่น่ายินดีว่า มีเด็กไทยจำนวนหนึ่งก็พยายามฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อที่จะได้บรรลุในเคล็ดวิชาจากที่นี่อยู่บ้างเหมือนกัน)
ดังนั้นในเมื่อ แอลเอ เป็นเหมือนดั่งเบ้าหลอมของนักออกแบบ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทุกๆปีจะมีการจัดงานประชันวิสัยทัศน์ระหว่างสตูดิโอออกแบบของค่ายรถต่างๆ ซึ่งต่างจากบ้านเราที่เป็นเพียงการประชันกันของเหล่านิสิต นักศึกษา แต่ที่อเมริกานั้นบริษัทเป็นผู้ส่งเข้าประกวด โดยในปีนี้มีอยู่ด้วยกัน 6 สตูดิโอ คือ ค่ายโตโยต้า ฮอนด้า มาสด้า เอาดี้ จีเอ็ม และ นิสสัน ร่วมกันส่งแนวคิดเข้าประชันกันในหัวข้อ “Youthmobile 2030” หรือแปลเป็นไทยง่ายๆได้ว่า “ยนตรกรรมหนุ่มสาวยุค 2030” รายละเอียดก็คือ ขอให้แต่ละสตูดิโอนั้น “คิดค้นหายานยนต์ที่จะสอดคล้องกับวิถีแห่งหนุ่มสาวในอนาคตผู้ซึ่งเกิดและเติบโตขึ้นกับวัฒนธรรมดิจิตอลและชีวิตออนไลน์ ซึ่งแต่ดั้งเดิมยานยนต์นั้นนอกจากจะทำหน้าที่เป็นยานพาหนะและยังทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวแทนของสื่อสารบุคลิกภาพของผู้ขับขี่ แต่ปัจจุบันและอนาคตตบทบาทของสื่อดิจิตอลต่างๆกำลังเบียดบังความสำคัญของยานยนต์ไป” โจทย์ฟังดูแล้วหินไม่ใช่เล่น เพราะสุดท้ายแม้ว่าแต่ละสตูดิโอดังจะนำเสนอผลงานแนวคิดต่างๆกันไป โดยส่วนตัวผู้เขียนก็ยังคิดว่า คำตอบเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถต้านทานกับกระแสของการเปลี่ยนแปลงทางวิถีชีวิตดิจิตอลได้อย่างที่ต้องการ เพราะไม่ว่ายานยนต์จะเปลี่ยนร่าง แปรรูปได้ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งบทบาทเดิมๆของการเป็นยานพาหนะอยู่ดี ยังไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เหมือนว่ากว่าจะมีผู้ขบปัญหาเหล่านี้แตกคงยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี
โลกอนาคตของยานยนต์ภายใต้บริบทของการคุกคามจากโลกดิจิตอล ยังคงต้องติดตามดูกันไปครับ คำตอบยังไม่เฉลยซะทีเดียว
(สนใจข้อมูลของ แอลเอ ดีไซน์ ชาเลจน์ และข้อมูลของรถแต่ละคัน ติดตามชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.carbodydesign.com/archive/2009/11/la-design-challenge-2009/ )