วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Nissan Land Glider ราวหงส์ร่อน มังกรรำ










ในฉบับนี้ เดลินิวส์ มี โตเกียวมอเตอร์โชว์ อลังการสถานมหกรรมแสดงแนวคิดใหม่ๆแห่งโลกยนตรกรรมเป็นเนื้อเรื่องหลัก และหากจับตายานยนต์ต้นแบบจะไม่นำเอารถต้นแบบเด่นๆ จากงานนี้มาเป็นพระเอกก็เห็นจะกะไรอยู่ ในงานนี้ค่ายรถแดนอาทิตย์อุทัย ทุกค่ายต่างงัดเอาไม้เด็ดของตนเองออกมาโชว์กันอย่างถ้วนหน้า เรียกได้ว่าไม่มีใครยอมใคร ดังที่เราได้เห็นในคอลัมน์อื่นๆไปกันแล้ว
สำหรับค่ายนิสสันนั้น รถเด่นของเขาในงานนี้ในสายตาของผมกลับมิใช่ รถสปอร์ตความเร็วสูง หรือรถหรูอลังการที่น่าหลงไหล แต่กลับเป็นรถแนวคิดเพื่อการเดินทางในเมืองคันเล็กๆ ที่มีชื่อว่า แลนด์ กไลด์เดอร์ (Land Glider) ซึ่งหากจะมองย้อนกลับไปก็จะพบว่า นิสสัน ให้ความสำคัญกับเรื่องของการค้นหาคำตอบใหม่ๆสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวันเสมอมา อาทิ รถแนวคิด พีโว่ (Pivo) ที่มีจุดเด่นตรงที่ห้องโดยสารหมุนได้ และการนำโรโบติคเอเจ้นท์ (Robotic Agent) หรือหุ่นยนต์ผู้ช่วยมาใช้เพื่อให้โลกของการเดินทางเป็นไปได้อย่างปลอดภัยและราบรื่น
แต่สิ่งที่รถแนวคิดรุ่นก่อนๆของนิสสันนั้นขาดหายไปก็คือ ความสนุกสนาน ซึ่ง แลนด์ กไลด์เดอร์ ก็ได้ปรับปรุงเรื่องนั้นโดยเป็นรถยนต์ที่ผสานความคล่องแคล่วของจักรยานยนต์ เข้ากับความปลอดภัยของรถยนต์ และได้ออกมาเป็นรูปแบบของการเดินทางใหม่ที่ปราดเปรียวและสนุกสนาน ด้วยรูปแบบการนั่งแบบแทนเดม (Tandem) หรือนั่งเรียงซ้อนกันแบบจักรยานยนต์และ มีความกว้างตัวรถเพียง 1.1 ม ช่วยให้การขับขี่ ลัดเลาะไปในถนนหรือซอยแคบ สะดวกโยธินเป็นอย่างยิ่ง แถมด้วยมีระบบช่วยเอียงตัวเข้าด้านในของโค้งขณะเลี้ยวทำให้สามารถทิ้งโค้งได้มุมถึง 17 องศา ช่วยให้การเข้าโค้งนั้น เร็ว และพริ้วราวกับเล่นสเก็ตน้ำแข็งก็ว่าได้ (ซึ่งต่างจากรถยนต์ 4 ล้อทั่วๆไปที่เวลาเข้าโค้ง ตัวรถจะยกขึ้นด้านในโค้งทำให้หากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงรถอาจจะยกด้านในโค้งขึ้นและพลิกคว่ำได้ ต่างจากพวก 2 ล้อที่จะเอียงเข้าด้านในโค้ง ช่วยให้ปลอดภัยกว่ามาก)
นอกจากนั้น นิสสันยังนำเสนอระบบอัดประจุไฟฟ้าให้เซลล์แบตเตอรี่แบบไร้สาย ให้ความสะดวกสบายกับการใช้งานเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือหากคุณขับรถเข้าไปในห้างสรรพสินค้าที่มีระบบนี้อยู่ ระบบก็สามารถประจุไฟให้คุณเองได้ และเมื่อคุณสนุกกับการช้อปปิ้งจนหนำใจและ รถของคุณก็พร้อมจะเดินทางด้วยไฟที่เต็มอีกด้วย
ในด้านความปลอดภัย นิสสันก็ได้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นที่นำเสนอเทคโนโลยีการหลีกเลี่ยงการชน โดยอาศัยแนวคิดจากการหลบเลี่ยงการประทะของฝูงปลาที่ว่ายไปในทิศทางเดียวกัน โดยระบบนี้จะอาศัยเทคโนโลยีหุ่นยนต์ผู้ช่วยในการทำงานประสานผู้ขับขี่ ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยไร้กังวลได้อย่างไม่น่าเชื่อ เรียกได้ว่า แลนด์ กไลด์เดอร์ นั้นจิ๋วแต่แจ๋ว สมกับเป็นรถแนวคิดเพื่อชีวิตอนาคตจริงๆ
และหากท่านอยากจะทราบถึง เรื่องราวการออกแบบของนิสสันในอีกหลายๆแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการออกแบบ การสร้างหุ่นจำลอง การออกแบบเพื่อผู้สูงอายุ หรือกระทั่งเรื่องการออกแบบสีสัน ปัจจุบันนิสสันได้เปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้สนใจในรูปแบบของ PDF ไฟล์ให้ดาวน์โหลดกันแล้วที่http://www.nissanpress.co.uk/press_site/menupages/design-newsletter.html

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ใครที่ว่าแน่ ดีเซลซิแน่กว่า



ยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคของการหาทิศทางใหม่ๆของระบบเครื่องยนต์ของรถยนต์ ที่มาแรงมีด้วยกัน 2 แนวทาง ทางหนึ่งก็คือระบบไฮบริดไฟฟ้า ที่ทางค่ายญี่ปุ่นและอเมริกัน นิยมกันมาก และอีกทางหนึ่งก็คือ ค่ายดีเซลคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจ็คชั่น ที่นิยมกันอย่างมากในยุโรป (สมถรรนะของเครื่องดีเซลยุโรปนี้ต่างจากดีเซลที่เราใช้กันในกระบะอยู่มากพอสมควรนะครับ) ส่วนพลังงานอื่นๆอาทิ ไฟฟ้าล้วน นั้นกำลังจะมาเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เชื่อว่าจะแรงเหมือนกัน

เมอร์เซเดส เบนซ์ ซี220 ซีดีไอ รุ่นประกอบในประเทศคันที่เราทดสอบวันนี้ก็เป็นหนึ่งในกระแสของรถยนต์ดีเซลสมถรรนะสูงจากเยอรมนี ที่ถึงพร้อมไปด้วยสมถรรนะในการขับขี่ในทุกๆด้าน ส่วนด้านของการออกแบบนั้นก็นับได้ว่าเป็นส่วนผสมที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของเบนซ์แบบคลาสสิค ผสานเข้ากับทิศทางการออกแบบใหม่ๆที่ล้ำหน้า

เริ่มต้นที่กระจังหน้า รถรุ่นนี้ยังคงไว้ซึ่งกระจังหน้าแบบดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันหลายๆท่านนิยมเลือกกระจังหน้าแบบสปอร์ตแบบในรุ่นอวังการ์ด (Avant Garde) แต่ผมเองกลับคิดว่า กระจังหน้าแบบดั้งเดิมที่ดูอนุรักษ์นิยมนิดๆแฝงไว้ด้วยสไตล์แบบผู้ดีนั้นกลับดูหรูหราและภูมิฐานไม่แพ้ใครเช่นกัน ในส่วนของรูปร่างของ ซี-คลาส เจนเนอเรชั่นที่ 3 นี้ดูลงตัว ทะมัดทะแมง และจับเหลี่ยมมุมได้สวยงาม เป็นหนึ่งในรถเก๋งเอ็กเซ็คคิวทีพขนาดเล็กที่ดูดีที่สุดในคลาสคันหนึ่ง แต่ล้ออัลลอยด์ที่ให้มาดูจะเล็กไปสักนิด แต่ก็ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ได้อย่างรื่นรมย์

ทัศนวิศัยการขับขี่จากมุมมองของผู้ขับนั้นสมบูรณ์แบบ ผู้ขับสามารถขับได้อย่างปรอดโปร่ง และไม่มีจุดบอดใดต้องกังวลไม่เสียชื่อที่เบนซ์ได้ทุ่มเทพัฒนารถยนต์ของตนให้เป็นผู้นำด้านความปลอดภัยเสมอมา การออกแบบภายในนั้นดูขึงขังจริงจัง และประกอบขึ้นจากวัสดุชั้นดีที่ดูแข็งแรงหนักแน่น ทริมไม้สีดำมันแบบเปียนโน ดูหรูและไม่ “เสี่ย” น่าจะถูกใจคนรุ่นใหม่ เบาะที่นั่งนั้นแม้จะไม่โอบกระชับแบบรถสปอร์ต แต่ให้การรองรับที่สบายมากๆ การเดินทางไกลๆไม่ปรากฏความเมื่อยล้าให้รำคาญใจ ตำแหน่ง รวมถึงการใช้งานของอุปกรณ์ต่างๆ เป็นไปได้อย่างสะดวกสบายตามหลัก การยศาสตร์ (Ergonomics) แม้หลายๆอุปกรณ์ต้องการความเคยชินสักนิด อาทิ การใช้งานระบบมัลติมีเดียและระบบโทรศัพท์บลูทูธ ที่สับสนบ้างเล็กน้อย แต่หากเคยชินแล้วก็ใช้งานได้สบาย

อุปกรณ์มาตรฐานที่ให้มากับ ซี220 ซีดีไอ ราคาเกือบๆ3ล้าน นั้นน่าแปลกใจที่ เบนซ์เลือกที่จะตัดสิ่งที่เป็นมาตรฐานขั้นพื้นฐานสำหรับรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมออกไป อาทิ เซนเซอร์ถอยหลัง และกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ที่ใช้กันจนเคยชิน จนทำให้สงสัยว่า ระบบการบริหารต้นทุนของ เบนซ์มีปัญหาหรืออย่างไร ทำไมอุปกรณ์ราคาไม่แพงแบบนี้ถึงต้องเป็นเหยื่อในการโดนตัดออกไปด้วย ส่วนเอกลักษณ์ที่น่าอึดอัดของเบนซ์บางอย่างก็ยังคงตามาหลอกหลอนรถรุ่นนี้อยู่ อาทิ คันเกียร์อัตโนมัติที่มีช่วงการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จาก เกียร์ว่าง มาเป็นเกียร์เดินหน้าที่ ยาวและหนักเหมือนเกียร์รถแทรกเตอร์ แถมยังเวลาเปลี่ยนกลับไปจากตำแหน่งเดินหน้า ไปว่างก็ยังเขย่ารถ พร้อมกับส่งเสียง “กึ้ง!” ได้อย่างน่ารำคาญทุกครั้งไป

แฟนประจำของเมอร์เซเดส เบนซ์ คงจะให้อภัยได้ เพราะกับสิ่งอื่นๆที่แลกกลับมาไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัย สมถรรนะ นั้นโดดเด่น และที่สำคัญก็คือ อิมเมจ ที่ไม่เป็นสองรองใครของรถตราดาวสามแฉกนั่นเองครับ

Lexus RX450h นวัตกรรมอนาคต



เมื่อได้รถเล็กซัสรุ่น อาร์เอ็กซ์ 450 เอช ( Lexus RX 450h) ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของเอสยูวีระดับพรีเมี่ยม ของค่ายเล็กซัส (หรือที่บ้านเราคุ้นเคยกันดีในชื่อของ โตโยต้า แฮริเออร์ ในอดีต) เท่าที่ผ่านมารถในตระกูลนี้เป็นรถที่เศรษฐีไทยคุ้นเคย ด้วยจุดเด่นที่มีเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดหลายๆประการ อาทิ หน้าตาที่เฉียบคม ผู้ชายขับได้ผู้หญิงขับดี ความนุ่มนวลและเรียบลื่นของการขับขี่ที่เหนือระดับ แถมอัดแน่นไปด้วยลูกเล่นไฮเทคล้ำสมัย รวมไปถึงความทนทานตามแบบฉบับของโตโยต้า ทำให้ชื่อของ ตระกูลอาร์เอ็กซ์นั้นเป็นตัวเลือกต้นๆของเหล่าผู้มีอันจะกินในบ้านเราเสมอมา

สำหรับเจนเนอเรชั่นที่ 3 นี้ก็ยังไม่ทิ้งสูตรสำเร็จของความสำเร็จคือ “สวย สบาย และ สมาร์ท” แถมในรุ่น 450 เอช นี้ยังเพิ่มคำว่า “สะอาด” เข้าไปอีกด้วย ความสะอาดนี้ได้มาจากการนำเอาระบบไฮบริดไฟฟ้ามาพ่วงเข้ากับเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเบนซิน วี6 ขนาด 3.5 ลิตร (แนวคิดเดียวกับระบบที่โตโยต้า แคมรี่ ไฮบริด รถยอดนิยมคันใหม่ของผู้บริหารเมืองไทยใช้ ที่ขายดีเทน้ำเทท่า ทำเอาคู่แข่งเจ้าอื่นนั่งมองตาละห้อยทีเดียว) ที่นอกจากจะลดมลภาวะทั้งเสียง และอากาศช่วยให้โลกของเราไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ ยังได้มาซึ่งแรงบิดที่ดีเยี่ยมที่รอบต่ำจากการทำงานควบคู่กันของมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ ผสานกับระบบเกียร์ ซีวีที ทำให้สมถรรนะการขับขี่ในเมืองนั้นนุ่มนวลและต่อเนื่องราวกับว่ารถคันนี้ใช้เครื่องยนต์ขนาด 8 สูบเลยทีเดียว

ด้านรูปโฉม ภายนอก รถรุ่นใหม่นี้ฉีกแนวจาก 2 รุ่นเดิมเป็นอย่างมาก รูปร่างคมเฉียบแบบเดิมกลายเป็นเพียงอดีต และสิ่งที่ได้มาใหม่ก็คือรูปทรงที่ประกอบไปด้วยพื้นผิวตัวถังที่ซับซ้อน ดูราวกับนักออกแบบและโมเดลเลอร์คู่ใจต่างพยายามถ่ายทอดปรัชญาการออกแบบที่จงใจจะให้ดูแล้ว “ลึกซึ้ง” แต่สำหรับสายตาของผมแล้วแม้จะดูแล้ว “พรีเมี่ยม” พอตัว และดู “ซับซ้อน” สมกับเป็นรถยนต์ระดับหรู แต่หากวิจารณ์แบบตรงไปตรงมา ผมคิดว่ารถคันนี้ขาดความ “แมน” ไปพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ เอสยูวีระดับพรีเมี่ยมจากค่ายยุโรป โดยเฉพาะส่วนของกระจังหน้าและพื้นผิวที่ไม่ค่อยกระชับ ดูเป็น “สตรีเพศ” มากกว่ารุ่นก่อนๆที่เป็น “บุรุษเพศ” ของแบบนี้ก็แล้วแต่จะมองครับ แต่ที่แน่ๆดูแล้วการเอารถรุ่นนี้ไปลุย คงจะไม่เหมาะแน่ๆ แต่ถ้าเอาไว้ขับไปรับส่งลูกหรือขับไปช้อปปิ้ง รถรุ่นนี้ดูจะลงตัวกับกิจกรรม “สบายๆ” มากกว่า

ส่วนของการออกแบบภายใน ผู้ที่คุ้นเคยกับรถ อาร์เอ็กซ์ รุ่นก่อนๆอาจจะแปลกใจที่พบว่า องค์ประกอบเดิมๆของหน้าจอที่หล่อเหลาเอาการนั้นถูกแทนที่ด้วยเส้นโค้งฉวัดเฉวียน ซึ่งองค์ประกอบของรายละเอียดทางการออกแบบ และการเลือกผสมผสานวัสดุดูขัดๆตา เชยๆ ไม่ล้ำยุคอย่างที่อยากจะเห็น แต่ขึ้นชื่อว่า เล็กซัสแล้ว แม้จะดูไม่ล้ำยุค แต่เรื่องของลูกเล่นก็มีมาให้เล่นเพียบ แต่ที่ถูกใจเอามากๆก็เห็นจะเป็นกระจกมองหลังที่ผสานกล้องถอยหลังในตัว ช่วยให้ไม่ต้องกวาดสายตาขึ้นๆลงๆระหว่างจอภาพ กับกระจกอีกต่อไป และระบบระบายความร้อนที่เบาะหน้าซึ่งสบายหลังและลดการเหงื่อออกเอามากๆ แต่ที่น่าตำหนิก็เห็นจะเป็นเสียงก้อกๆแก้กๆจากส่วนปิดห้องสัมภาระที่หากเจอถนนที่ไม่เรียบจะส่งเสียงดังออกมาจนน่ารำคาญ ไม่ทราบว่าเป็นเฉพาะคันที่เราทดสอบหรือไม่ แต่หากไม่นับเรื่องนี้ ส่วนสัมภาระก็นับได้ว่ากว้างขวางและใช้งานได้ดี

ความแตกต่างระหว่างรุ่นธรรมดาอย่างรุ่น อาร์เอ็กซ์ 350 กับรุ่นไฮบริด อาร์เอ็กซ์ 450 เอช นั้นมีไม่มากนัก ที่เห็นได้ชัดๆก็คงจะเป็นล้อขนาด 19 นิ้ว ในขณะที่รุ่น 350 นั้นใช้ล้อขนาดเล็กกว่าคือ 18 นิ้ว และรายละเอียดต่างๆที่รุ่น 450 เอช นั้นเลือกที่จะใช้สีของชิ้นส่วนโครมเมี่ยมที่ติดไปทางสีน้ำเงินมากกว่า อาทิ ดวงโคมไฟหน้า และไฟท้าย ส่วนด้านภายในนั้นส่วนที่แตกต่างก็คือรุ่น 450 เอช นั้นไม่มีมาตรวัดรอบ แต่จะมีมาตรแสดงการทำงานของระบบไฮบริดเข้ามาแทนและจะมีไฟสีน้ำเงินเข้ามาเป็นแบ็คกราวน์เสริมบริเวณหน้าปัด

สรุปภาพรวมทางการออกแบบก็คือ เล็กซัส อาร์เอ็กซ์ 450 เอช คือ เอสยูวีระดับ พรีเมี่ยม ที่เน้นหนักที่การใช้งานในเมือง และสะท้อนภาพของชีวิตที่สะดวกสบาย แถมด้วยความประหยัดราวกับใช้รถยนต์ขนาดเครื่องยนต์เพียง 4 สูบ 2.4 ลิตร แต่สมรรถนะเหมือนเครื่องยนต์ วี 8 ขนาด 4 ลิตร ซึ่งตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าส่วนใหญ่ได้ตรงประเด็นทีเดียว

86 คืนชีพ






อ่ะๆ อ้วนซ่า ไม่ได้ใบ้หวยนะขอรับ อย่าพึ่งเข้าใจผิด(แต่ถ้าถูกจริง ก็ไม่ต้องเอาผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอกมาคล้องรอบเอวนะครับ มันสยิว) 86 คือเลขในตำนานของเหล่าคนรักความเร็วที่กำลังจะฟื้นคืนชีพขอรับ

86 ที่ว่านี้คือชื่อของ รถยนต์สปอร์ตคูเป้ ขับเคลื่อนล้อหลัง น้ำหนักเบา ของโตโยต้ารุ่น เอฟที 86 (FT-86) รถต้นแบบคันล่าสุดที่จะเปิดตัวงาน โตเกียวมอเตอร์โชว์ 2009 สิ้นเดือนนี้นั้นเอง รถคันนี้นอกจากจะมีรูปทรงเฉียบขาดปราดเปรียวแบบรถคูเป้ขนาดขับเคลื่อนล้อหลังพันธ์แท้ ที่เกิดมาเป็นคู่ปรับของ นิสสันซิลเวีย สปอร์ตตัวเจ็บจ้าวสนามดริฟท์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ยังมีส่วนผสมทางวิศวกรรมที่แหวกขนบของโตโยต้าอย่างสุดขั้วเพราะรถคันนี้ใช้เครื่องยนต์บ๊อกเซ่อร์! แม่นแล้ว บ๊อกเซ่อร์ เครื่องยนต์สูบนอนยัน ที่มีจุดเด่นที่จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่ารถทั่วๆไป ที่ปัจจุบันมีเหลือผู้ผลิตอยู่เพียงสองเจ้าเท่านั้นคือ พอร์ช (Porsche) จากเยอรมนี และซูบารุ (Subaru) เพื่อนร่วมชาติแดนปลาดิบ และหากจะเดาว่าโตโยต้าให้ใครผลิตให้ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าขุมกำลังของเจ้า เอฟที 86 นี้ผลิตโดยซูบารุ ราชันย์ขับสี่ล้อแรลลี่โลกนั่นแล ดังนั้นจึงเชื่อขนมกินได้ว่า เอฟที 86 จะต้องเร้าร้อนด้วยพละกำลังดุดันสไตล์ซูบารุที่นักซิ่งทั่วทุกมุมโลกต่างซูฮก ผสานเข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ที่เมินระบบเกียร์อัตโนมัติแบบอัจฉริยะทั้งหลายแต่หันมาส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีดแบบดั้งเดิม กับตัวถังเบาๆขนาดย่อมๆ จะให้อารมณ์การขับขี่ที่เมามัน ดิบ เถื่อน ได้ใจ แบบที่รถสปอร์ตยุคใหม่ที่มีอุปกรณ์ช่วยมากมายประดามีทำกันไม่เป็น นี่แหละรถของหนุ่มนักซิ่งขนานแท้ รถที่จะให้ความเร้าใจได้แบบที่กระเป๋าไม่ฉีกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

การกลับมาของรหัส 86 นี้เกิดจากกระแสของการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง อินนิเชียล ดี (Initial D) โดยแท้ เพราะ 86 นี้คือรหัสของรถโตโยต้ารุ่น โคโรลล่า ทรูโน หรือ ที่รู้จักกันดีในหมู่เฮาชาวนักซิ่งว่า เออี 86 (AE-86) รถจากยุค 80 คู่ใจของกระทาชายนายทาคุมิ พระเอกหน้าง่วงนอน ผู้ต้องรับรับหน้าที่ขนเต้าหู้สดที่ที่บ้านทำขึ้น ขับข้ามเทือกเขาอากินะไปส่งที่เมืองข้างๆทุกเช้ามืดด้วยทักษะความเร็วระดับเทพ (เพราะอยากรีบกลับมานอน) ผู้ซึ่งในที่สุดได้กลายมาเป็นเทพเจ้าแห่งทางเลียบภูเขาจากการถูกประลองทั้งทางตรงและอ้อมจากนักซิ่งเลียบเชิงเขาคนอื่นๆ และผลจากการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือการเป็นผู้สร้างกระแสการขับรถสไลด์ทางข้างหรือ ดริฟท์ติ้ง (Drifting) ให้โด่งดังไปทั่วโลกนั่นเอง พร้อมกับกระแสการบูรณะรถรุ่น เออี 86 ที่ถูกทิ้งเป็นซากให้เปรี้ยวยิ่งกว่าตอนเป็นรถรุ่นใหม่ๆซะอีก

ในเรื่อง86 ของนายทาคุมิในเรื่องก็คือ รถเก่าๆที่พ่อโละมาให้ใช้ รถที่เหล่าคู่แข่งตอนแรกๆต่างก็หยามเหยียดเพราะเป็นรถรุ่นเก๋ากึ๊ก แต่กลับกลายเป็นว่า น้ำหนักที่เบา ตัวรถที่เล็ก สมดุลที่ดีผสานเข้ากับทักษะ(ที่เกิดจากการเคี่ยวกรำของพ่อในการขนเต้าหู้ให้ทั้งรวดเร็วและนิ่มนวลทุกๆเช้า)ของนายทาคุมิ ได้สอนมวยให้รถแรงๆมานักต่อนัก เรียกได้ว่าไร้พ่ายก็ว่าได้ จะแพ้ก็แต่ ซูบารุ อิมเพรซ่า ลึกลับเพียงคันเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่ของใครอื่นเพราะมันคือรถของนายบุนตะ บิดาบังเกิดเกล้าของ ทาคุมินั่นเอง ไม่อยากจะเดาเลยว่านี่คงเป็นแรงบันดาลใจให้วิศวกรของโตโยต้าจับเอารถสองรุ่นมาผสมพันธ์กันระหว่าง ตัวถังคูเป้ กับ เครื่องบ๊อกเซอร์ รวมกันได้ออกมาเป็น เอฟที 86 นั่นเอง...แหมคิดไปได้

รถยนต์จากคำอธิฐานของนักซิ่งวัยกระเตาะผู้หลงไหลโลกของการขับรถทางข้างได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว และเราคงต้องจับตาดูว่า 86 จะสร้างตำนานบทใหม่สำเร็จหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ อ้วนซ่ากระสันอยากได้จริงๆขอรับ

หมดมุข!


สวัสดีวันอาทิตย์กันอีกครั้งกับหนุ่มอ้วนอารมณ์ดี อ้วนซ่า แอบซิ่ง ช่วงเดือนที่ผ่านมาในวงการจักรยานยนต์มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ติดๆกันถึง 2 รุ่น จากคือ ฮอนด้า สกู้ปปี้ และซูซุกิ เจลาโต ซึ่งจะว่าไปทั้งสองรุ่นก็ล้วนแต่น่ารัก คิกขุอาโนเนะ ในสไตล์สกูตเตอร์ ที่มาพร้อมกับสีสันที่กุ้กกิ้กได้ใจและ แนวการแต่งรถที่หลากหลายสนุกสนาน สอดคล้องกับวิถีชีวิตของหนุ่มสาววัยโจ๋อย่างยิ่ง

แต่ทั้งสองรุ่นนั้นแม้จะน่ารัก แต่กลับน่าผิดหวังในสายตาของอ้วนซ่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งสองรุ่น โดยเฉพาะ ฮอนด้า สกู้ปปี้ นั้นขาดความเป็นตัวของตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย เพราะแทนที่จะหาเส้นทางเดินที่จะแย่งส่วนแบ่งตลาดที่ ยามาฮ่า ฟีโน่ ผู้ริเริ่มตลาดของ จักรยานยนต์แนวย้อนยุคที่ไม่เน้นแนวสปอร์ตบุกเบิกเอาไว้ โดยไม่หาเอกลักษณ์ของตัวเองแต่กลับเลือกที่จะกระโดดลงไปในตลาดที่ ฟีโน่ ได้ริเริ่มเอาไว้ อย่างที่เรียกว่า ขาดความ “สด” และ ทิ้งศักดิ์ศรีของเจ้าตลาดโดย “ยอมเป็นผู้ตาม” ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นกับฮอนด้าเอาเสียเลย เพราะหากที่จะเลือกเดินเส้นทาง “สไตล์ย้อนยุค” รถเด่นในอดีตของฮอนด้าเองก็มีไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็น รถจักรยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอย่าง ฮอนด้า คัพ 50 หรือ รถจอมกวนอย่างมังกี้ หรือกอริลล่า (ที่ใครเคยดู สาระแน ห้าวเป้ง คงจำรถของพระเอกได้) ก็ยังสามารถเอามาปรับบุคลิกให้เป็นรถจักรยานยนต์แห่งศตวรรษที่ 21 ที่มีบุคลิกแบบ ฮอนด้าแท้ๆได้สบายๆ

ในบริบทของธุรกิจที่มีการแข่งขันอย่างสูงในตลาดเดียวกันหรือ ที่รู้จักในชื่อว่า “เรด โอเชี่ยน” (Red Ocean) หรือ น่านน้ำสีแดง อันแดงฉานไปด้วยเลือดของการห่ำหั่นกันทุกวิธีทาง ด้วยกลยุทธ์ผู้ตาม ไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบ หั่นราคา หรือปรับปรุงจากผู้นำทีละนิดนั้น ส่วนใหญ่ยากที่จะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนอย่างผู้ริเริ่มได้ทำไว้ การจะอยู่รอดได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะฉีกตัวออกไปสู่ น่านน้ำสีน้ำเงิน หรือ “บลูโอเชี่ยน” (Blue Ocean) ที่เป็นตลาดใหม่ที่ยังไม่ได้รับการบุกเบิกและ สงวนไว้สำหรับผู้มีวิสัยทัศน์ เหมือนดั่งที่ ยามาฮ่า ฟีโน่ หรือ โตโยต้าแคมรี่ ไฮบริด หรือกระทั่งโทรศัพท์อัจฉริยะอันโดดเด่นด้วยระบบจัดการอันพร้อมพรั่งอย่าง แอปเปิ้ล ไอโฟน เป็นตัวอย่างของผู้มีวิสัยทัศน์และ ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลจนผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวังวนน่านน้ำสีเลือดต่างอิจฉาตาร้อนไปตามๆกัน

วันนี้จบแบบวิชาการนิดๆ และนาทีนี้คงยังเร็วเกินไปที่จะ ทำนายว่า สกู้ปปี้ และเจลาโต จะทำยอดขายได้เป็นที่น่าพอใจหรือไม่ แต่เท่าที่ได้เห็นจากที่ฮอนด้าไปเปิดบูธที่โลตัสใกล้ๆบ้านของอ้วนซ่า ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครตื่นเต้นกับรถสกู้ปปี้เท่าใดนัก อาจจะคิดว่ามันเป็น ฟีโน่ เจ้าเก่าก็ได้กระมัง