วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

บิ้กไบค์นับวันยิ่งเย้ายวน



สวัสดีวันอาทิตย์กับผมนายอ้วนซ่าแอบซิ่งเช่นเคยขอรับ สัปดาห์นี้ทางกองบรรณาธิการขอให้ผมได้เขียนเกี่ยวกับจักรยานยนต์ ก็นับว่าได้เปลี่ยนรสชาติจากสี่ล้อมาเป็นสองล้อกันอีกครั้ง เรื่องของรถจักรยานยนต์ สำหรับคนที่ชื่นชอบเรื่องรถยนต์แม้ว่าจะไม่มีจักรยานยนต์เป็นของตนเองก็ใช่ว่าจะไม่แอบชำเลืองมองเวลาเห็นรถจักรยานยนต์โหดๆเสียงดุๆซิ่งผ่านไปนะขอรับ โดยเฉพาะจำพวกรถบิ้คไบค์ หรือรถใหญ่นำเข้าหน้าตาแจ่มๆด้วยแล้ว ยากจะหักห้ามใจไม่ให้มองตามเลยขอรับ แถมช่วงหลังๆนี้ผมสังเกตุเห็นบริษัทจักรยานยนต์ค่ายปลาดิบหลายๆค่ายไม่ว่าจะเป็น คาวาซากิ หรือ ยามาฮ่า ได้เริ่มนำเอารถนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคชาวไทยได้เลือกเป็นเจ้าของกัน จากที่แต่เดิมไม่ค่อยจะได้เห็นการนำเข้าจากบริษัทแม่ จะมีก็แต่ผู้นำเข้าอิสระไม่กี่รายเท่านั้น เรื่องนี้กระตุกต่อมสงสัยให้กันอ้วนซ่าไม่น้อย จนได้ไปปรึกษาผู้รู้มาจนได้ความว่าที่มาของรถเหล่านั้นมาจากการได้ลงนามร่วมกันใน “ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น” หรือที่คุ้นหูกันในชื่อของ เจแทปป้า (JTEPA, Japan Thailand Economic Partnership Agreement) นั่นเอง

เจแทปป้า คืออะไรและ เพราะเหตุใดถึงทำให้บริษัทเหล่านั้นตัดสินใจนำเอารถจักรยานยนต์นำเข้าๆมาจำหน่าย คำตอบนั้นอยู่ที่เรื่องของภาษีนั่นเองครับ เพราะภายหลังที่รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ทำการลงนามรับรองความตกลงไปเมื่อปลายปีที่แล้วนั้น ได้ส่งผลให้กำแพงภาษีนำเข้าค่อยๆคลายตัวลง โดยรถจักรยานยนต์รุ่นที่ได้อานิสงค์ในทันทีก็คือ รถรุ่นเครื่องยนต์ความจุต่ำกว่า 250 ซีซีทั้งหลาย เพราะนับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว กำแพงภาษีที่เคยมีการจัดเก็บได้มลายสิ้นไปเหลือเพียง 0% ทำให้ราคาของรถกลุ่มเหล่านี้มีราคาสูสีกับรุ่นที่จำหน่ายในญี่ปุ่นทีเดียว (ยังไงก็แพงกว่าที่ผลิตเองในบ้านเราอยู่ดีขอรับ) และรุ่นที่มีความจุกระบอกสูบมากกว่านั้นก็ได้รับการลดภาษีเช่นกัน แต่ก็ยังไม่ได้ลดเหลือ 0% ในครั้งเดียวเหมือนรุ่นเล็กๆเค้า แต่จะค่อยๆลดการจัดเก็บภาษีลงไปเรื่อยๆทุกๆปีทีละเล็กละน้อย โดยปัจจุบันนับตั้งแต่เดือน เมษายน ปี 2552 จะเรียกจัดเก็บในอัตรา 43.64% และลดลงไปเรื่อยๆปีละ 5.45% ไปเรื่อยๆ แต่กว่าจะลดลงไปจนเหลือ 0% ก็ต้องรอจนถึงเดือน เมษายน ปี 2560 นู้น ซึ่งถ้าใครรอได้ก็รอได้เลยครับ แต่ถ้ารอไม่ไหวอยากหารถมาขี่เต็มแก่แล้ว ก็ต้องทำใจนะขอรับ เพราะว่าจากแต่เดิมในอดีตที่รถใหญ่เคยมีราคาขายต่อที่ค่อนข้างจะแข็งนั้นอาจกลายเป็นแค่เพียงอดีต เพราะหากภาษีลดลงรายปีเช่นนี้ ราคาขายต่อของรถใหญ่น่าจะตกลงอย่างน่าแปลกใจก็ได้

การลดภาษีลงอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ความฝันที่เคยเป็นเพียงความฝันของหลายๆคนกลายเป็นความจริงได้ง่ายขึ้น ส่วนตัวผมเองไม่รีบครับ แต่ก็จะเริ่มแอบ(ผู้บัญชาการที่บ้าน)หยอดกระปุกเติมความฝันขอเป็นเพื่อนกับสายลมกับเค้าบ้างเหมือนกันครับ เพราะปี 2560 มาเร็วกว่าที่คิดเยอะครับ

ไม่มีความคิดเห็น: