วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คันเร่งวิปโยค(จริงหรือ?)

ปีนี้แรงจริงๆนะขอรับ ตั้งแต่เริ่มปีมาจนวันตรุษจีนในวันนี้ อ้วนซ่า ได้เห็น ได้ฟัง ได้สัมผัสเรื่องร้ายๆไม่หยุดไม่หย่อนต่างกรรมต่างวาระ (บางเรื่องก็ประสบการณ์ตรงเลยขอรับ) ล่าสุดที่ก็ได้เกิดกับวงการรถยนต์ก็คือ วิบากกรรมของโตโยต้า
นับจากปี 2008 ที่โตโยต้าได้ออกมาประกาศว่าผลประกอบการของตนเองขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษและผ่านไปเพียงหนึ่งปีเท่านั้นโตโยต้าออกมาประกาศว่าวิกฤตการทางการเงินของพวกเขาผ่านพ้นไปแล้วพร้อมกับประกาศว่ามีกำไรในปี 2009 วงการรถยนต์ต่างก็คิดว่าพวกตนได้เห็นจุดต่ำสุดแล้วและต่อไปนี้ก็จะเร่งชดเชยช่วงเวลาที่เสียไป แต่ดูราวกับว่าพระเจ้าจะกลัวชีวิตจะราบรื่นเกินไป จึงได้ส่งวิกฤตใหม่มาทดสอบความสามารถของผู้บริหารโตโยต้ากันอีกรอบก็คือ วิกฤตที่เกิดขึ้นกับระบบคันเร่ง อันส่งผลให้ต้องมีการแสดงความรับผิดชอบโดยเรียกรถที่จำหน่ายออกไปแล้วกลับเข้ามาเพื่อเปลี่ยนอะไหล่โดยไม่คิดมูลค่านั่นเอง
จะว่าไปเรื่องราวทำนองนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น เพราะต่างก็เกิดขึ้นกับรถยนต์ยี่ห้อต่างๆทั้งจากอเมริกาและยุโรปกันเนืองๆแต่ละครั้งก็ตกเป็นข่าวใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่ดูเหมือนว่าโตโยต้าโดนมากกว่าใครเพราะนอกจากจะเสียทรัพย์ไม่ใช่น้อยในการเปลี่ยนอะไหล่ให้กับรถที่เรียกกลับ และกับการเรียกความมั่นใจจากผู้บริโภคคืน แต่ต้องเสียมูลค่าหุ้นจำนวนมหาศาลไปกับการที่สื่อต่างๆประโคมข่าวซะโตโยต้าเละเป็นโจ๊ก ชะรอยสื่อตะวันตกคงจะรับ “ปัจจัย”จากค่ายรถยุโรปและอเมริกันไปพอสมควรถึงได้พร้อมหน้าพร้อมตาแทงแล้วแทงอีกไม่ให้โงหัวกันเลย ตรงข้ามกับสื่อของญี่ปุ่นเองที่ไม่ให้น้ำหนักกับเรื่องนี้มากนักแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องเล็กๆบนหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น เรียกว่างานนี้ค่ายรถตะวันตกต่างสบโอกาสที่จะหยุดความร้อนแรงของโตโยต้าไปได้อีกพักใหญ่
ต้นตอปัญหานี้อยู่ที่ระบบคันเร่งไฟฟ้า หรือที่เรียกกันว่า ไดร์พ บาย วาร์ย (Drive-By-Wire) ในระบบคันเร่งไฟฟ้านี้จะแตกต่างกับระบบคันเร่งแบบสายเคเบิ้ลดั่งเดิมที่เราใช้กันอยู่มาก เพราะระบบนี้จะไม่มีกลไกเชื่อมต่อกับลิ้นปีผีเสื้อของเครื่องยนต์เหมือนระบบสายเคเบิ้ลแต่ใช้การส่งแรงดันไฟฟ้าแทนซึ่งก็จะตอบสนองต่อการกดได้หลายรูปแบบและฉับไวกว่าแบบเคเบิ้ล แต่ในระบบนี้ก็จะมีการใช้กลไกที่ช่วยให้คันเร่งกระเด้งขึ้นลงอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับที่เราคุ้นเคยและกลไลเล็กๆนี้เองที่เป็นต้นตอของปัญหา! เพราะในรถบางคันพบว่าใช้ไปนานๆเข้ามันอาจจะฝืดและไม่กระเด้งกลับเร็วพอหรือพูดให้ง่ายเข้าก็คือคันเร่ง “หนืด” นั่นเอง ถามว่าร้ายแรงไหม? ก็มีบ้างแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เพราะหากเกิดขึ้น (กับรถคันไหนๆก็ตาม)สิ่งที่เราต้องทำก็คือ กดลงไปบนแป้น “เบรค” เพื่อนเก่าเท่านั้นเอง พอรถลดความเร็วลงมาแล้วก็ค่อยๆลดเกียร์ลง จนกระทั่งเป็นเกียร์ว่างในที่สุด (อย่าตกใจจนใส่เกียร์ถอยหรือเกียร์จอดขณะรถวิ่ง และอย่าดับเครื่องตอนรถวิ่งนะครับ เพราะหากทำลงไปก็เจอกันที่เมรุครับ) อ้วนซ่าขอชี้แจงว่า ไม่ว่ารถของท่านจะแรงขนาดไหน เบรคของรถท่านเอาอยู่หมดครับเชื่ออ้วนซ่าเถอะครับ
งานนี้ต้องพึ่ง “สติ” ครับ ไม่ว่าจะการรับสื่อว่า เรื่องมันใหญ่จริงหรือ และรวมไปถึงสติในการขับรถด้วยครับ เราอย่าเชื่อใจรถยนต์และระบบอิเล็คทรอนิคซะจนเกินไป ควรจะมีความรู้เรื่องพื้นฐานการทำงานของรถด้วยไม่ใช่ว่าเอะอะจะร้องกรี้ดท่าเดียว เพราะความรู้เรื่องพื้นฐานการทำงานรถนั้น เวลาฉุกเฉินได้ใช้งานขึ้นมาคุ้มยิ่งกว่าคุ้มนะครับ!

ไม่มีความคิดเห็น: