The Collection of Car Articles from Sunday issue of Dailynews Newspaper by Patrakit Komolkiti ( also known as "อ้วนซ่า แอบซิ่ง"
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
My Supercar Experiences
จะว่าไปโอกาสที่จะได้ควบรถยนต์แรงเกิน 300 ม้านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่ในเดือนเดียวกัน (เมษายน 2553)กลับได้ทดสอบมฤตยูทางเรียบถึงสองคัน คันแรกก็คือ Ferrari 430 ที่มีแรงเฉียดๆ 500 ม้า และคันต่อมาคือ Ruf RT12S ที่มีกำลังถึง 685 ม้า
ม้าลำพองจากอิตาลี เรียกคะแนนรวมจากผมไปได้ 9/10 ที่เสียไปหนึ่งแต้มก็คือ มันค่อนข้างขับยากเกินไปที่ความเร็วต่ำและโดยเฉพาะเจอถนนขรุขระในชีวิตประจำวัน เรียกได้ว่า มันคือ Super Car แท้ๆ แต่เอาคะแนนมาได้จากสมรรถนะที่บอกได้เลยว่า....ซี้ดอูย มากๆ เรื่องความสวยไม่ต้องพูดถึง ใครขี้อายอย่าขับ เพราะคนมันมองเอาจริงๆจังๆ เพราะรถมันสุดจริงๆ เครื่องยนต์ตอบสนองได้เกรี้ยวกราดมากๆ สนุกสะใจจริงๆ มาพร้อมอัตราเร่งที่เรียกได้ว่า หนาวขี้ไปเลย ส่วนช่วงล่างก็ไม่ถึงกับกระด้างนะครับ สบายๆไร้กังวล แต่ถ้าเจอรถติดๆคันเร่งมันดูจะฝืดและแข็งไปหน่อยทำให้การเดินทางร่วมกับรถคันอื่นๆดูไม่น่าอภิรมย์เท่าไร แถมตอนถอยรถอยากบอกว่า เครียดมาก ทำไมไม่ติดกล้องมองภาพด้านหลังให้ซะหน่อยหนอ
ความเร็วสูงสุดไม่ได้ลอง เพราะคิดว่าไม่จำเป็น......แค่นี้ก็สนุกมากแล้ว
คันที่สองคือ Ruf หลายๆคนอาจไม่รู้จักดูภายนอกยังไงๆก็ Porsche ก็แหงละมันก็คือ Porsche ที่ถูกปรับสภาพใหม่จากสำนัก Ruf นั่นเอง พื้นฐานเดิมก็คือ Porsche Turbo GT2 ขับสี่ล้อ แต่โดนอัพเพิ่มให้มีแรงม้าถึง 685 ม้าและแรงบิด 800+นิวตัน พร้อมกับสถิติอัตราเร่ง 0-300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบบต่ำกว่า 30 วินาที และความเร็วสูงสุดระดับ 350 กิโลต่อชม.
จุดต่างของ Ruf ที่สังเกตุได้ง่ายๆก็คือช่องดูดอากาศเข้า Intercooler ที่เดิมของ GT2 อยู่ที่หน้าล้อหลัง ได้ถูกปรับตำแหน่งใหม่ไปอยู่เหนือล้อหลังเพื่อผลด้านแรงกดทางอากาศพลศาสตร์ที่มากขึ้น
บอกตามตรงหวังไว้มากไปหน่อย แรงมันก็แรงหรอก แต่ไม่ได้หนาวมาก น่าจะตอบสนองดีกว่านี้ รู้สึกว่าตอนเร่งขึ้นไปจะมีอาการรอรอบ Turbo นิดๆแล้วตามด้วยอาการเหมือนโดนรถไฟชนท้าย ไม่ได้จี้ดจ้าดตั้งแต่แรกเหมือน Ferrari ความเร็วสูงสุดที่ได้ลองคือ 280 กิโล/ชม. พร้อมกับความเสียวที่เกือบจะเสยแท็กซี่ที่จู่ๆก็เปลี่ยนเลน ตกโทล์เวย เพราะมันไมู่้ว่าเราเร็วขนาดนั้น เบรคจาก 280 เหลือ 110 ในระยะทางเกือบครึ่งกิโล น่ากลัวพิลึก... ถ้าไม่ได้ทักษะของนักขับมือหนึ่งคือ กีกี้แล้วล่ะก็สงสัยตายแหงๆ ดังนั้นตอนผมขับเองก็จะไม่เร็วขนาดนั้น เรียกว่า เอาชีวิตกลับบ้านดีกว่ากลัว....(แต่ก็อยากลองนะว่าที่ 350 กิโล/ชม มันเร้าอารมณ์ขนาดไหน)
สิ่งที่แย่ที่สุดของ Porsche ก็คือ คนไม่เห็นหัวมันเท่าไร ไม่เหมือน Ferrari ดูคนจะหลบให้มันแบบง่ายๆไม่ขวาง....เฮ้อ
สรุปว่าให้ 8/10
อย่าถามนะว่าให้เลือกคันไหน
แค่ได้ลองก็พอแล้ว อิอิ
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
จับตาดูช่วงเวลาทองของฟ้าหลังฝน
สุดท้ายก็ได้เห็นทางออกกันไปกับการตัดสินใจของท่านนายกฯขวัญใจคนรุ่นใหม่แม้ว่าอาจจะไม่ถูกใจคนบางกลุ่มที่ต้องการเห็นรัฐใช้ความเด็ดขาด แต่สำหรับอีกหลายๆคนทั้งแดงและไม่แดงการตัดสินใจครั้งนี้ของท่านนายกฯนำมาซึ่งความโล่งอกโล่งใจ และคลายปมจุกเสียดได้ชงัด ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนนิสิตนักศึกษาที่อยู่ในย่านราชประสงค์ และคนค้าคนขายในย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง ซึ่งอ้วนซ่าฯอยากจะบอกว่ารอยยิ้มของคนอยากขายและคนอยากซื้อน่าจะกลับมาอีกครั้งในอีกไม่นานนี้แน่นอน
และเมื่อเมฆฝนได้จางหายไป (แต่อาจจะกลับมาได้ใหม่เร็วๆนี้ แต่ขอภาวนาว่าอย่าเลยขอร้องล่ะ) และอารมณ์ในการจับจ่ายได้กลับมาอีกครั้งก็คงเป็นช่วงเวลาที่บริษัทต่างๆก็คงจะต้องกระตุ้นยอดขายที่หดไปในช่วงที่ผ่านมานี้อย่างแน่นอน แม่นแล้วงานนี้ สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามา เตรียมตัวพบกับช่วงนาทีทองของปีนี้ได้เลยขอรับ ซึ่งอ้วนซ่าฯเชื่อว่าไม่แต่เฉพาะห้างต่างๆในแถบราชประสงค์เท่านั้นที่ต้องมีการกระตุ้นยอดขายอย่างหนักเพื่อดึงเอาผลกำไรกลับมา ตลาดรถยนต์เองก็ต้องการยาชูกำลังขนานแรง(ให้กับเซลล์)ด้วยเช่นกัน
หลายๆค่ายมีของใหม่เปิดตัวสู่ผู้บริโภคกันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนิสสันมาร์ช ที่กวาดยอดจองไปกว่า 5 พันคัน หรือขวัญใจวัยรุ่น มาสด้า 2 ทั้งแบบแฮชท์แบค และซีดานที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า (ก็รถเขาดีจริง) หรือ ค่ายโตโยต้าที่มี แคมรี่ ไฮบริด และ วีออส ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งเปิดตัวไปพักนึงแล้ว แม้ว่าจะมีข่าวไม่ค่อยงามนักเกี่ยวกับรถไฮบริดจากทางอเมริกาเข้ามาป่วนอยู่บ้างจนทำให้ต้องทำโฆษณาเรียกความเชื่อมั่นออกมาเป็นระลอกๆ แต่ก็ถือว่าผู้บริโภคไทยเมื่อได้ลองลิ้มความเงียบ นิ่มนวลของไฮบริดกันแล้วก็เห็นจะลืมไม่ลงและควักกระเป๋าจ่ายกันเป็นแถวๆ พวกนี้ถือว่ารอดไป เหลือก็แต่ค่าย “ฮอนด้า” ที่แม้จะมีสินค้าใหม่อย่าง รถอเนกประสงค์ ฮอนด้า “ฟรีด” แม้จะทำยอดขายเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มแต่ก็เพียงแค่ 1,020 คันเท่านั้น นับว่ายังไม่คุ้มค่าโฆษณาเท่าไร ส่วนแจ๊สนั้น แม้ว่าจะวัดกันหมัดต่อหมัดโดยรวมก็ยังเหนือกว่าคู่ต่อสู้ แต่ผู้บริโภคดูจะอิ่มเสียแล้ว เลยหนีไปเล่นรถรุ่นอื่นเสียหมด รถซีดานขนาดกลางอย่าง ซีวิคซึ่งทำยอดได้ดีมาตลอดก็แพ้ “ของเล่น” นานาชนิดที่โตโยต้าอัดลงไปในอัลติส ส่วนรถใหญ่อย่างแอคคอร์ด ก็ต้องหลบให้กับ แคมรี่อย่างไม่มีทางสู้ (แพ้กระทั่งนิสสัน เทียน่า) จนทำให้ยอดขายเดือนมีนาคมของปี 2010 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2009 นั้นฮอนด้ามียอดขาย “ลดลง” ร้อยละ 12 ดูน่าเจ็บใจเมื่อเทียบกับโตโยต้าที่ทำได้ “ดีขึ้น” กว่าร้อยละ 50
จับตาดูให้ดีๆว่าเพื่อที่จะเรียกยอดขายคืน กลยุทธ์ฟ้าหลังฝนของค่ายฮอนด้าจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะงานนี้ยิ่งกว่าไฟท์บังคับแต่หากมองต่างมุม ก็นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาทองของผู้บริโภคเช่นกันขอรับ!
และเมื่อเมฆฝนได้จางหายไป (แต่อาจจะกลับมาได้ใหม่เร็วๆนี้ แต่ขอภาวนาว่าอย่าเลยขอร้องล่ะ) และอารมณ์ในการจับจ่ายได้กลับมาอีกครั้งก็คงเป็นช่วงเวลาที่บริษัทต่างๆก็คงจะต้องกระตุ้นยอดขายที่หดไปในช่วงที่ผ่านมานี้อย่างแน่นอน แม่นแล้วงานนี้ สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามา เตรียมตัวพบกับช่วงนาทีทองของปีนี้ได้เลยขอรับ ซึ่งอ้วนซ่าฯเชื่อว่าไม่แต่เฉพาะห้างต่างๆในแถบราชประสงค์เท่านั้นที่ต้องมีการกระตุ้นยอดขายอย่างหนักเพื่อดึงเอาผลกำไรกลับมา ตลาดรถยนต์เองก็ต้องการยาชูกำลังขนานแรง(ให้กับเซลล์)ด้วยเช่นกัน
หลายๆค่ายมีของใหม่เปิดตัวสู่ผู้บริโภคกันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนิสสันมาร์ช ที่กวาดยอดจองไปกว่า 5 พันคัน หรือขวัญใจวัยรุ่น มาสด้า 2 ทั้งแบบแฮชท์แบค และซีดานที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า (ก็รถเขาดีจริง) หรือ ค่ายโตโยต้าที่มี แคมรี่ ไฮบริด และ วีออส ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งเปิดตัวไปพักนึงแล้ว แม้ว่าจะมีข่าวไม่ค่อยงามนักเกี่ยวกับรถไฮบริดจากทางอเมริกาเข้ามาป่วนอยู่บ้างจนทำให้ต้องทำโฆษณาเรียกความเชื่อมั่นออกมาเป็นระลอกๆ แต่ก็ถือว่าผู้บริโภคไทยเมื่อได้ลองลิ้มความเงียบ นิ่มนวลของไฮบริดกันแล้วก็เห็นจะลืมไม่ลงและควักกระเป๋าจ่ายกันเป็นแถวๆ พวกนี้ถือว่ารอดไป เหลือก็แต่ค่าย “ฮอนด้า” ที่แม้จะมีสินค้าใหม่อย่าง รถอเนกประสงค์ ฮอนด้า “ฟรีด” แม้จะทำยอดขายเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มแต่ก็เพียงแค่ 1,020 คันเท่านั้น นับว่ายังไม่คุ้มค่าโฆษณาเท่าไร ส่วนแจ๊สนั้น แม้ว่าจะวัดกันหมัดต่อหมัดโดยรวมก็ยังเหนือกว่าคู่ต่อสู้ แต่ผู้บริโภคดูจะอิ่มเสียแล้ว เลยหนีไปเล่นรถรุ่นอื่นเสียหมด รถซีดานขนาดกลางอย่าง ซีวิคซึ่งทำยอดได้ดีมาตลอดก็แพ้ “ของเล่น” นานาชนิดที่โตโยต้าอัดลงไปในอัลติส ส่วนรถใหญ่อย่างแอคคอร์ด ก็ต้องหลบให้กับ แคมรี่อย่างไม่มีทางสู้ (แพ้กระทั่งนิสสัน เทียน่า) จนทำให้ยอดขายเดือนมีนาคมของปี 2010 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2009 นั้นฮอนด้ามียอดขาย “ลดลง” ร้อยละ 12 ดูน่าเจ็บใจเมื่อเทียบกับโตโยต้าที่ทำได้ “ดีขึ้น” กว่าร้อยละ 50
จับตาดูให้ดีๆว่าเพื่อที่จะเรียกยอดขายคืน กลยุทธ์ฟ้าหลังฝนของค่ายฮอนด้าจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะงานนี้ยิ่งกว่าไฟท์บังคับแต่หากมองต่างมุม ก็นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาทองของผู้บริโภคเช่นกันขอรับ!
BMW Z4 ชื่อเดิมแต่ไม่ได้ ไมเนอร์เชนจ์
นับตั้งแต่มาสด้า เอ็มเอ็กซ์ 5 (Mazda MX-5) ปลุกกระแสความนิยมของโรดสเตอร์เปิดประทุนให้กลับมานิยมกันอีกครั้งในปี 1989 หลังจากที่โลกรถยนต์ขาดรถยนต์ประเภทนี้มานานนับ 2 ทศวรรษ ด้วยกลิ่นอายของโรดสเตอร์อังกฤษที่เรียบง่ายแต่มีสเน่ห์อย่าง เอ็มจี บี (MG-B) แต่ผสานเข้ากับความทนทานแบบญี่ปุ่น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือโรดสเตอร์ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และทำให้ยี่ห้ออื่นๆเดินตามรอยคที่มาสด้ากรุยทางเอาไว้ และบีเอ็มดับเบิ้ลยูเองก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่เดินตามรอยโมเดิร์นคลาสสิคโรดสเตอร์ของมาสด้าด้วยเช่นกัน ด้วยการนำเสนอรถยนต์โรดสเตอร์รุ่น แซด 3 (Z 3) ในปี 1996 โดยอาศัยสไตล์ของรถโรดสเตอร์แบบอังกฤษด้วยเช่นกันนั่นก็คือ ออสติน ฮีลี่ย์ (Austin Healey) ที่โดดเด่นด้วยกระจังหน้ายาว ท้ายสั้น แนวประตูที่ต่ำ และใหญ่กว่า ดุดันกว่า โรดสเตอร์น้ำหนักเบาอย่าง เอ็มจี โดยบุคลิกของรถแซด 3 ก็คือ เครื่องยนต์แรง ขับสบาย เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติภายนอก แต่ไม่ต้องขับขี่พริ้วมากมายนัก เรียกได้ว่า จุดขายต่างจาก มาสด้า เอ็มเอ็กซ์ 5 แบบคนละเรื่อง
เมื่อถึงเวลาจะต้องปรับโฉม บีเอ็มดับเบิ้ลยู ภายใต้การนำของ มหากูรู คริส แบงเกิล ได้นำเสนอโมเดิร์นโรดสเตอร์พันธ์แท้แบบใหม่ในปี 2002 ด้วยรถยนต์รุ่น แซด 4 (Z 4) (รหัสเรียกขานคือ อี 85) ที่เรียกเสียงฮือฮาด้วยเส้นสายพริ้วลื่นไหลที่เรียกกันว่า เฟลม เซอร์เฟสซิ่ง (Flame Surfacing) หรือเปลวผิวอันพริ้วไหว อันได้แรงบันดาลใจจากรูปสลักหินอ่อนกรีกโบราณที่โดดเด่นด้วยภาพของพื้นผ้าที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อที่ดูราวกับก้อนหินนั้นมีชีวิต และรูปทรงหน้ายาว ท้ายสั้น แบบคลาสสิค บีเอ็มดับเบิ้ลยู แซด 4 ถือได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของ คริส แบงเกิล คันหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปบีเอ็มดับเบิ้ลยูก็ได้เรียนรู้จุดด้อยต่างๆของ แซด 4 รุ่น เมื่อเทียบกับคู่แข่งในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นหลังคาเปิดได้แบบผ้าใบที่ยังดูสัดส่วนไม่ลงตัวนักเวลาปิดหลังคาซึ่งรถจะสวยกว่ามากตอนเปิดประทุน และคู่แข่งยังหันไปคบกับหลังคาโลหะที่เงียบกว่าและแข็งแรงกว่ากันไปหมดแล้ว ทำให้ต้องมีการปรับยุทธศาสตร์กันใหม่และผลที่ได้ก็คือ “รถยนต์ชื่อเดิม” แต่เปลี่ยนใหม่แบบถอดด้าม อันมีรหัสเรียกขานว่า อี 89 ผลงานชิ้นโบว์แดงของผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบคนใหม่ของบีเอ็มดับเบิ้ลยู มร. เอเดรียน ฟอน ฮุยดอง อดีตมือขวาของ คริส แบงเกิล นั่นเอง
ในแซด 4 รุ่น อี 89 นั้นจุดด้อยต่างๆของรุ่นที่แล้วถูกลบไปสิ้นด้วยหลังคาพับได้แบบโลหะที่สะดวกสบาย และสวยงามลงตัวทั้งตอนเปิดและปิดประทุนกว่ารุ่นที่แล้วมาก ส่วนรูปโฉมใหม่นั้นก็นับได้ว่า เฉียบขาดสุดๆ โดยสัดส่วนยังคงแบบหน้ายาว(เฟื้อยยยย) ท้ายสั้นไว้เช่นเดิม แม้ฐานล้อจะยาวเท่าเดิม แต่ความยาวและความกว้างนั้นมากขึ้น แต่เตี้ยลง ทำให้รูปทรงของรุ่น อี 89 นั้นดุดันแต่เซ็กซี่กว่ารุ่นเดิมอย่างเทียบไม่ติดในทุกรายละเอียด! ส่วนห้องโดยสารนั้นก็เรียบง่ายแต่เฉียบขาดด้วยเส้นสายคมกริบ ดูหรูหราและทันสมัย ด้วยทุกข้อที่ว่ามาทำให้แซด 4 เป็นหนึ่งในรถโรดสเตอร์ที่ดูดีที่สุดในปัจจุบันคันหนึ่งและเหนือกว่าคู่แข่งเพือนร่วมชาติทั้งเบนซ์และพอร์ชอย่างไม่ต้องลุ้น และขึ้นหิ้งเป็นหนึ่งในรถยนต์คลาสสิคที่สุดตลอดกาลอย่างไม่ต้องสงสัย!
ปล.ในภาพเป็นล้อ Lenso ES7 ขนาด 20 นิ้วนะครับ ไม่ใช่ของ BMW ใส่แล้วหล่อกว่าเดิมมาก
Nouvelle Chinois ฝรั่งเศสตำหรับจีน
หากจะว่าไปถึงวงการอาหารสมัยใหม่ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสของอาหารฟิวชั่น (Fusion) ในลักษณะของ ตะวันออกพบตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นอาหารตะวันตกที่ใช้เครื่องปรุงรสเผ็ดร้อนแบบเอเซีย หรืออาหารเอเซียที่เสิร์ฟอย่างพิถีพิถันมีพิถีรีตรองแบบตะวันตก รวมไปถึงอาหารตำรับที่ใช้ความรู้แขนงใหม่ๆอย่าง ตำรับอาหารโมเลกุล ( Molecular Gastronomy) ที่นำเอาวิทยาศาสตร์มาสร้างสรรค์เป็นประสบการณ์แห่งรสชาติที่แปลกใหม่ได้อย่างน่าตื่นจะลึง
ในโลกของยานยนต์ก็เช่นกันจากแต่เดิมที่ศูนย์กลางทางความคิดของยานยนต์นั้นจะอยู่ในประเทศมหาอำนาจยานยนต์เดิมๆไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา หรือ ญี่ปุ่น แต่ในสหัสวรรษใหม่นี้จากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ย้ายฮวงจุ้ยไปตามกาลเวลาและได้เคลื่อนไปสู่ดินแดนของมังกรจีนในที่สุด ดังนั้นหากโลกตะวันตกยังไม่ตระหนักถึงพลวัฒน์นี้ก็อาจจะพบกับคำว่า “สายเกินแก้” ได้ไม่ยาก ผู้ผลิตรถยนต์จากหลายๆค่ายทั่วโลกได้ลงหลักปักฐานในดินแดนมังกรในฐานะ “ตลาดหลัก” ที่บ่อยครั้งขายดีกว่าขายในประเทศต้นตำรับเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น บิวอิค (Buick ) ของค่ายจีเอ็ม ที่ในตลาดอเมริการเหนือนั้นทำยอดขายได้ “งั้นๆ” แต่ในเมืองจีนนั้นได้กลับเป็นแบรนด์ที่หอมหวลสำหรับชาวจีน จากค่ายยุโรปเองเป็นที่แน่นอนว่า จากสภาพตลาดยุโรปที่แทบไม่มีความก้าวหน้าเนื่องจากเศรษฐกิจที่เติบโตน้อยนิด ตลาดจีนนั้นเป็นแหล่งปล่อยของที่สำคัญที่สุดของหลายๆแบรนด์ อาทิ โฟล์ค เอาดี้ เปอร์โยต และซีตรอง และสำหรับซีตรองนั้นก็ได้รุกคืบไปอีกขั้นด้วยการเปิดศูนย์การออกแบบของตนขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่เสียด้วยซ้ำ เพื่อที่จะได้เข้าใจและเจาะลึกถึงรสนิยมการบริโภคของเศรษฐีใหม่ชาวจีนและออกแบบให้ตรงกับความต้องการของเสี่ยน้อยเสี่ยใหญ่ได้อย่างตรงประเด็น
ซีตรอง เมทโทรโปลิส ( Citroen Metropolis) เป็นผลผลิตของการสร้างสรรค์ของสตูดิโอออกแบบของซีตรองในเมืองเซียงไฮ้จนได้ออกมาเป็นรสชาติใหม่ระหว่างความโก่ก๋แบบชาวปารีเซียงกับความฟู่ฟ่าของนักการเงินแห่งมหานครเซียงไฮ้ เส้นสายที่ปรากฏอยู่บนรถซีดานแท้ๆขนาดฟูลไซส์ (บอกลาให้กับรูปทรงแบบท้ายลาดที่ใช้กันมากว่า 50 ปี) ที่มีความยาวถึง 5.3 เมตรนี้เป็นการแสดงออกถึงความมั่นใจ เฉียบขาด ในอนาคตที่สดใสด้วยเส้นสายที่เฉียบคมและท้าทายเข้ากับเอกลักษณ์ใหม่ของซีตรองอย่างกระจังหน้าทรง “ว่าว” ได้อย่างลงตัว (บางคนอาจจะมองว่าเหมือน แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ) และที่ผู้เขียนรู้สึกดีมากๆกับรถคันนี้ก็คือ นี่เป็นหนึ่งรถยนต์ไม่กี่คันที่ หัวหับท้ายดูแล้วสัมพันธ์กันอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นหัวมกุฏท้ายมังกร แบบที่เห็นกันจนชาชิน รถคันนี้ได้สลัดแนวคิดของรูปทรงแบบท้าทายสามัญสำนึกแต่ดูละล้าละลังแบบซีตรองเดิมๆออกไปอย่างเต็มตัว และนำเสนอรายละเอียดทางการออกแบบที่ “แพรวพราว” แบบเซี่ยงไฮ้ แต่เปี่ยมไปด้วย “รสนิยม”แบบปารีเซียง
ซีตรอง เมทโทรโปลิส เป็นหนึ่งในบทพิสูจน์ว่า ฟิวชั่น หรือลูกผสมนั้นบางครั้งกลับให้ผลผลิตที่เป็นสากล และกลมกล่อมเหนือกว่า ต้นตำรับพันธ์แท้ก็เป็นได้
คอลัมภ์โดนแบน Banned Column ข้อหาพาดพิงเสื้อแดง!
อยากรู้เหมือนกันว่า มันแตะต้องไม่ได้เลยเหรอ.....สรุปว่าแตะไม่ได้จริงๆ ได้ลงแค่กรอบบ่ายเสาร์ ส่วนกรอบเช้าวันอาทิตย์ออกไม่ได้เลย 555 เวร!
กฏจราจรสองมาตรฐาน?
สวัสดีวันอาทิตย์กับอ้วนซ่าเจ้าเก่าขอรับ บอกตามตรงว่าช่วงนี้อ้วนซ่า “เซ็งจิต”เอามากๆ คงจะพอเดากันได้ว่าเป็นเรื่องอะไร เพราะดูจะเป็นโรคเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุก็มิใช่อะไรนอกไปจากสถานการณ์บ้านเมืองไทยที่ดูจะมืดมนนนทกาลและยากที่จะมองเห็นอนาคตที่สดใสกลับคืนมาได้ในเร็ววัน ทำให้รอยยิ้มสยามนั้นดูจะเจื่อนๆไป กลายเป็นสยามเมืองยิ้ม (ยาก) ไปเสียแล้ว อ้วนซ่านั้นมิใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมือง และก็ไม่ได้มีวงในพรายกระซิบจึงต้องตกอยู่ภาวะสับสนกับอนาคตบ้านเมืองไปไม่ต่างจากท่านผู้อ่าน ต้นฉบับที่อ่านอยู่นี้เขียนขึ้นในวันจันทร์ที่ 12 เมษายน ก่อนที่กองบ.ก.ยานยนต์เขาจะหยุดกลับบ้านต่างจังหวัดกัน อ้วนซ่าไม่รู้ว่าตามต่างจังหวัดนั้นการเล่นสาดน้ำ รดน้ำดำหัวขอพรจากผู้เฒ่าผู้แก่ สนุกสนานกับตามประเพณีจะเป็นอย่างไร แต่สำหรับคนกรุงเทพโดยกำเนิดอย่างอ้วนซ่าแล้ววี่แววของการเล่นสาดน้ำก็ดูหงอยเหมือนเป็ดป่วยไปเป็นแถบๆ จะเห็นบ้างก็พี่รถเมล์เจ้าเก่าที่โดนแป้งขาวโพลนวิ่งมาเป็นระยะๆ ก็ได้แต่หวังว่า การได้สาดน้ำเย็นๆให้แก่กันน่าจะได้ช่วยลดความเครียดให้ท่านผู้อ่านที่รักได้บ้างไม่มากก็น้อยในเทศกาลที่ผ่านมา (แต่ยังมาไม่ถึงตอนที่อ้วนซ่าเขียนอยู่นี้)
เห็นเสื้อแดงเขาเรียกร้องเรื่องสองมาตรฐานกัน ผมก็ไม่ค่อยเขาใจว่าเขาเรียกร้องให้กำจัดหรือเรียกร้องให้มีกันแน่เพราะดูเหมือนกลุ่มคนเสื้อแดงเขาก็ทำเรื่องสองมาตรฐานกันได้หน้าตาเฉยเหมือนกัน จากแต่เดิมไอ้พฤติกรรมสองมาตรฐานกร่างถนนนั้นดูจะสงวนไว้สำหรับ “ผู้มีอิทธิพล” ประเภท ป้ายทะเบียน “ตอง”, มีตราโล่ห์ปะกระจังหน้า, วางหมวกตำรวจตรงกระจกหลัง ฯลฯ แต่ตอนนี้พฤติกรรมกร่างๆเหล่านั้นทำได้สะดวกขึ้น เพียงแค่ผูกริบบิ้นแดงหรือโบกธงแดงก็สามารถทำได้เสมอกัน ลงทุนน้อยกว่ากันเยอะเหมาะกับสภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง คุณก็จะทำเรื่องห้าวๆได้อย่างสะดวกโยธินไม่ว่าจะเป็นการบีบแตรกันสนั่นหวั่นไหวไปตามท้องถนน, ฝ่าไฟแดงกันเป็นขบวน (หรือชาวเสื้อแดงจะคิดว่า สัญญานไฟแดงนั้นแปลว่า ไฟให้คนเสื้อแดงไปได้? อันนั้นก็สุดจะคาดเดาได้),การขับย้อนศร และร้ายที่สุดก็คือขับสามล้อและจักรยานยนต์ขึ้นทางด่วน คิดๆดูอ้วนซ่าก็ว่าไม่เลวเหมือนกันเพราะวันไหนอยากจะทำผิดกฏจราจรสนองสันดานดิบของตัวเองบ้างก็จะเอาผ้าแดงมาโบกแล้วขับฝ่าไปเลยบ้างอยากจะรู้ว่าท่านผู้พิทักษ์สันติราษฤร์ท่านใดจะมาจับบ้าง ถ้ามีท่านใดมาจับจริงๆจักเป็นพระคุณยิ่ง เพราะจะได้เห็นว่าบ้านเมืองยังมีขื่อมีแปกันอยู่บ้าง เพราะเท่าที่เห็นตอนนี้ดูจะเหมือนกับ “อำนวยความสะดวก” ให้กับอภิสิทธิ์ชนคนเสื้อแดงอยู่แต่ฝ่ายเดียว
จะให้เดาว่าวันอาทิตย์ที่ท่านได้อ่านอยู่นี้ประเทศเราจะออกหัวหรือก้อยนั้นก็ยากยิ่งจะเดา เอาเป็นว่าอ้วนซ่าเชื่อว่าหาก กฏเกณฑ์ กฏหมายใช้ไม่ได้ ก็คงเหลือแต่ “กฏแห่งกรรม”เท่านั้นกระมังที่ “อาจ” จะพอพึ่งพาได้ในการที่จะแยกความเลวร้ายออกจากความดีงามในสังคมได้ แต่ถ้ากฏแห่งกรรมยังใช้ไม่ได้ ก็ตัวใครตัวมันแล้วกันขอรับ!
นิสสันจู้ค ลูกบ้าเที่ยวล่าสุดของนิสสัน
ผ่านกันไปอีกครั้งกับมอเตอร์โชว์ปี 2010 ที่เพียบพร้อมไปด้วยรถแจ่มๆและสาวสวยๆให้เหล่าคนที่อยากจะลืมความวุ่นวายทางของสถานการณ์วุ่นวายทางการเมืองได้หนีร้อนมาพึ่งเย็น อ้วนซ่าเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน (อิอิ) ในมอเตอร์โชว์นี้อ้วนซ่าได้เห็นรถใหม่ที่คิดว่าเด่นๆหลายคัน ไม่ว่าจะเป็น เบนซ์ เอสแอลเอส (Benz SLS) ประตูปีกนกนางนวล หลานปู่ของ 300 เอสแอล กัลล์วิงค์ (300 SL “Gull Wings”) รวมไปถึงการเปิดตัว อีโคคาร์ คันถัดไปจากค่าย ฮอนด้า ที่จี้ดโดนจายเอามากๆ แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับอ้วนซ่าเป็นอย่างยิ่งก็คือ บู้ทของ “ล้อแม๊กเลนโซ่” ล้อคุณภาพระดับโลกของคนไทย ที่ปีนี้เอาแนวคิดการจัดงานมาจากอเมริกาด้วยการนำเอาสปอร์ตระดับโลกสองคันคือ เฟอรรารี่ 430 และเบนท์ลีย์ คอนติเนนตัล จีที มาขึ้นแท่นโชว์คู่กับล้อรุ่นล่าสุด รถที่ว่าหล่อสุดๆแล้วแล้วยังจะ “หล่อได้อีก!” เรียกได้ว่า เป็นสินค้าระดับโลกจริงๆ(แถมพริตตี้ของเค้าก็ยัง “เลื้อย” จนแอบเห็นงูเห่าของเหล่าหนุ่มๆชูคอขู่ฟ่อๆกันทุกรอบการโชว์ทีเดียว)
ที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือการเปิดตัวรถนิสสัน มาร์ช ที่เรียกคนเข้าบูทของนิสสันได้แน่นบู้ทพอควร แม้ว่านิสสันในนาทีนี้ยังไม่อาจจะเขย่าตลาดได้แรง เพราะเจอสถานการณ์การเมืองที่ทำให้อารมณ์ของประชาชนไม่สู้จะแฮปปี้ แต่บังเอิญได้มีการพูดคุยกับคนของนิสสันที่แอบแง้มแผนการในอนาคตที่จะทำให้ตลาดรถของไทยมีสีสันอีกครั้งกับชื่อของ “นิสสัน จู้ค!” ที่มีแผนจะเข้ามาประกอบในประเทศเพื่อนบ้านของเรานี่เอง
จู้ค (Juke) คืออะไร? ชื่อนี้ไม่คุ้นหูสำหรับคนไทยเอาซะเลย แน่นอนเพราะว่านี่คือรถในตระกูลล่าสุดที่เรียกเสียงฮือฮามาแล้วจากในยุโรป พัฒนาขึ้นมาจากรถต้นแบบสุดซ่าส์ นิสสัน คาซานา (Nissan Qazana) เป็นรถขนาดย่อมในระดับ B เซ็คเมนท์ หรือว่ากันให้เข้าใจง่ายๆก็คือระดับเดียวกับ ยาริส แจ๊ส นั่นเอง แต่บังเอิญว่า จู้ค นั้นไม่ได้เป็นรถบ้านๆแต่ฉีกแนวเป็น รถในสไตล์ เอสยูวี ที่โฉบเฉี่ยวไฉไลเอาใจวัยรุ่นซะมากๆ ด้วยเครื่องยนต์ขนาด1.6 กับการออกแบบที่ สดใหม่ เรียกว่าวัยโจ๋ทั้งหลายต้องคลั่ง! กับราคาที่ได้ยินมาว่า ไม่เกินล้านแน่นอน อ้วนซ่าได้ยินเข้าถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ เพราะมันยั่วยวนความคิดเอามากๆ ส่วนรายละเอียดนั้นไว้ใกล้ๆจะเปิดเผยมากกว่านี้จะเหมาะสมกว่า
ท่านที่ยังหารถที่โดนใจไม่ได้ในชั่วโมงนี้ รออีกสักปีก็ไม่สายที่จะยลโฉมลูกบ้าเที่ยวล่าสุดของนิสสัน เพราะอ้วนซ่า ต่อคิวซื้อทันทีที่เปิดตัวแน่นอนขอรับ
ปล. สำหรับท่านที่ซื้อมาร์ชไปแล้วแต่อยากหาแนวทางแต่งให้หล่อขึ้น อ้วนซ่าขอแนะนำแนวทางของ “เฟียท 500 อบาร์ธ” (Fiat 500 Abarth) ด้วยการนำเอา มาร์ช สีขาวมาคาดสีข้างด้วยแถบแดง แล้วเปลี่ยนสีกระจกข้างเป็นสีแดง พร้อมกับแม็กลายฟินแบบรถอิตาเลียนตบท้ายด้วยการโหลดนิดๆ บอกตามตรงว่า “จิ๊กโก๋” และ “โดนใจวัยซ่าส์” จริงๆไม่ได้โม้!
คนไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก!
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเห็นเหมือนที่อ้วนซ่าเห็นหรือไม่ว่าประเทศของเราได้เห็นนิมิตหมายใหม่หลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นการเจรจาหาหนทางออกให้กับวิกฤติบ้านเมืองซึ่งทำให้คนไทยได้เห็นและได้รับรู้ถึงความเป็นไปของบ้านเมืองแบบจะๆชนิดว่าห้ามกระพริบตาเช่นนี้ อ้วนซ่าเชื่อว่าการเจรจารอบแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วจัดเป็นหนึ่งในรายการที่คนไทยส่วนใหญ่ต่างมีส่วนร่วมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และน่าจะสร้างความกระจ่างในใจของคนไทยส่วนใหญ่ที่สับสนลังเลได้ไม่มากก็น้อย
(แต่ในที่สุดมันก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมันมีใบสั่ง...มาจากคนที่คุณก็รู้ว่าใคร....added 11/5/10)
เอาล่ะก่อนจะกลายสภาพไปเป็นคอลัมภ์การเมืองและจะโดนกองบ.ก.เซ็นเซอร์ซะก่อน อ้วนซ่าขอนำท่านเข้าสู่มอเตอร์โชว์กันเสียที ไอ้ครั้นจะวิพากษ์ถึงรถใหม่ในงานก็เห็นจะซ้ำ ดังนั้นก็เลยจะขอนำท่านเข้าสู่โลกของกิจกรรมและสีสันในงานนี้กันดีกว่า เป็นที่แน่นอนว่าหนึ่งในไฮไลท์ของมหกรรมโชว์รถของบ้านเรานั้นเห็นจะไม่พ้นเรื่องของการประชัน สาวๆ “พริ้ตตี้” กันนั่นเอง หลายๆท่านอาจจะสวลงสัยว่าคำง่า “พริตตี้” มันมาจากไหน อ้วนซ่าขอเฉลยว่าผู้แรกที่นำเอาชื่อนี้มาใช้เป็นเจ้าแรกก็คือ โตโยต้า นั่นเอง ในนามของ “โตโยต้า พริตตี้” กลุ่มของสาวสวยมากความสามารถที่คัดสรรมาให้เป็นผู้นำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ๆสู่สาธารณชน ซึ่งจากรุ่นที่ 1 ถึงทุกวันนี้ก็เป็นรุ่นที่ 25 แล้วขอรับ หลังจากนั้นมาคำเรียกขานว่า “พริตตี้” ก็ถูกนำมาใช้ในทุกวงการตั้งแต่งานขายรถยนต์ไปจนถึงขายกระดาษปริ้นเตอร์เลยทีเดียว
พริตตี้ในงานแสดงรถยนต์นั้นมีด้วยกันหลายสไตล์ แบบสวยสง่าแจ่มจรัสน่าเทิดทูนหยาดฟ้ามาดิน ก็มักจะสติอยู่ตามรถยนต์แบรนด์ดังไม่ว่าจะเป็น เบนซ์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู เล็กซัส วอลโว่ ส่วนแนวน่ารักสดใสอาโนเนะก็จะเป็นค่ายรถที่เน้นรถยนต์ที่จับกลุ่มหนุ่มสาวสักนิด อย่าง ฮอนด้า เกีย ฮุนได และยังรวมไปถึงแนวจักรยานยนต์แบบกุ๊กกิ๊กอย่าง ยามาฮ่า ฟีโน่ และฮอนด้า สกู้ปปี้ไอ (แต่ค่ายซูซูกิ เจลาโต มาแปลกด้วยการเล่นแต่งคอสเพลย์แนว เซลเลอร์มูน มาสู้ซึ่งบอกตามตรงได้ใจเด็กอนุบาลและประถมมากๆ แต่สำหรับอ้วนซ่าแล้วขอผ่าน) และกลุ่มสุดท้าย ก็คือกลุ่มรถแรง รถแต่ง ก็จะเน้นความ “แรง” ซึ่งปีนี้ค่าย ซูบารุ และเลนโซ่วีล ซึ่งตั้งติดๆกันได้นำเสนอพริตตี้ที่คาดว่าคัดมาจากสหกรณ์โคนมหนองโพมาทั้งคู่ แต่ค่ายล้อแม๊กเลนโซ่ ดูจะคัดมาเฉพาะสาวที่เกิดในปีมะเส็งเสียด้วยเพราะคุณเธอทั้งหลายนั้น “เลื้อย” ได้ใจมากเล่นเอา “งูเห่า” ของเหล่าหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยต่างชูคอแผ่แม่เบี้ยกันสลอน เรียกได้ว่าหลังจากงานนี้พอสาวๆกลับสหกรณ์แล้วคงต้องกลับไปเช็คสายตากันทั่วหน้าเพราะไฟแฟลสกระหน่ำซะต้อกระจกถามหากันง่ายๆ
บอกตามตรงว่า “พริตตี้” ที่ไหนๆในโลกนี้ก็ สวย น่ารัก และละลานตาเท่าของไทยนั้นเป็นไม่มีขอรับ (จะแพ้ก็แค่ความใจถึงที่พริตตี้ฝรั่งอเมริกันนั้นกินขาดในทุกท่วงท่า) แต่การนำสาวสวยมารวมตัวกันเยอะๆมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีนั้นแน่นอน เพราะเปิดโอกาสให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ยังไม่เฉไฉไปชอบกันเองก็ได้ยลโฉมแม่โฉมตรูกันได้แบบฟรีโชว์โนชาจน์ แต่ข้อเสียที่เห็นได้ชัดก็คือ ไม่ว่าในมอเตอร์โชว์หรือมอเตอร์เอ็กซ์โปก็ตาม สาวสวยทั้งหลายก็ดูราวกับแทบจะหายเกลี้ยงไปจากท้องถนนเพราะต้องไปรวมตัวกันในงานนี้หมด ทำเอาอ้วนซ่าเซ็งจิตเป็นยิ่งนัก ว่าแล้วก็ปิดคอมพ์แล้วไปมอเตอร์โชว์อีกรอบดีกว่า อิอิ….
ชาละวันจากสตุ้ทการ์ท
พอร์ช (หรือ ปอร์เช่, ตามแอคเซนท์ของผู้ออกเสียง) บริษัทรถยนต์สปอร์ตแบรนด์เก่าแก่จากเยอรมนี ที่คงความเหนียวแน่นในด้านเอกลักษณ์การออกแบบที่เรียกได้ว่าแม้ไม่ใช่แฟนพันธ์แท้ก็สามารถแยก “พอร์ช” ออกจากรถสปอร์ตคันอื่นๆได้อย่างง่ายดายในเดือนนี้ได้เผยโฉมรถรุ่นใหม่ 3 รุ่นด้วยคัน และหนึ่งในนั้นก็คือ รถยนต์สปอร์ตแนวคิดใหม่ เครื่องกลางลำที่มาพร้อมการผสมผสานระหว่างความประหยัด ความสะอาดเข้ากับสมรรถนะการขับขี่ชั้นเลิศด้วยการใช้เครื่องยนต์แบบ 8 สูบขนาด 3.4 ลิตรรอบจัดถึง 9,200 รอบปั่นออกมาได้ 500 แรงม้าผสมเข้ากับระบบไฮบริดแบบแบตเตอรี่ลิเธียมที่สามารถเสียบปลั้กได้ ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อการใช้งานที่ความเร็วสูงที่มีมอเตอร์ขับทั้งเพลาหน้าและเพลาหลังที่มีกำลังกว่า 200 แรงม้า ทำให้มีสมถรรนะอัตราเร่งดุดัน 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุดระดับท้ามฤตยู 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งสมถรรนะที่หวือหวานี้ได้รับการยืนยันในอภิมหาสนามทดสอบรถยนต์ เนอเบอร์กริงค์ (Nurburgring) ด้วยเวลาต่อรอบเพียง 7:30 นาที เร็วกว่าพอร์ช คาร์เรรา จีที (Carrera GT) ซึ่งเป็นรถรุ่นท้อปของค่ายพอร์ชเสียด้วยซ้ำไป แต่ทั้งหมดนี้หากขับแบบ “ชิลล์ๆ” ก็จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 70 กรัม/กิโลเมตร และจิบเชื้อเพลิงต่ำเพียง 3กิโลเมตร/100 กิโลเมตร สะอาดและประหยัดว่าอีโคคาร์เป็นไหนๆ นอกจากนั้นยังสามารถวิ่งแบบไฟฟ้าล้วนๆก็ยังได้ไกลถึง 25 กิโลเมตร
รถยนต์สปอร์ตต้นแบบคันใหม่ล่าสุดนี้มีนามกรว่า 918 สไปเดอร์ (สะกดต่างจากคำว่า Spider ที่แปลว่าแมงมุม เพราะคำว่า สไปเดอร์ของรถคันนี้สะกดว่า Spyder ที่มีความหมายถึง รถยนต์สปอร์ตไม่มีหลังคา) รูปทรงของมันนั้นยังคงไว้ซึ่ง ดีเอ็นเอของพอร์ชที่วางเครื่องยนต์แบบวางกลางลำอย่างครบถ้วน ด้วยสัดส่วนที่กระทัดรัด แต่เร้าอารมณ์ และด้วยการนำเอาแรงบันดาลใจจากรถแข่งรุ่นเก๋าที่สร้างชื่อไว้เป็นตำนานอย่างรุ่น 917 รถแข่งเลอมังส์จากยุค 60 ได้แฝงไว้ซึ่งเหลี่ยมสันที่ทำให้ 918 สไปเดอร์ ดู “เหี้ยม” และ “โหด” กว่ารุ่นเครื่องกลางลำแบบ “บ้านๆ” อย่าง บ๊อกสเตอร์ (Boxster) และเคย์แมน ( Cayman) อย่างชัดเจน จนมองเผินๆบางมุมอาจทำให้คิดว่าเรากำลังมองรถสปอร์ตพันธ์ดุจากอิตาลีไปเสียด้วยซ้ำ และหากคนไทยเรียกเจ้าเคย์แมนว่า “จระเข้” ผู้เขียนเห็นทีจะต้องเรียก 918 สไปเดอร์ว่า “ชาละวัน” ให้สมศักดิ์ศรีราชันย์จระเข้เสียหน่อย!
เอกลักษณ์เด่นของรถรุ่นนี้อีกประการก็คือ ช่องดูดอากาศแบบยืดหดได้บริเวณด้านบนของพื้นที่ห้องเครื่อง ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องประสิทธิภาพการรับอากาศเข้าห้องเผาไหม้แล้วยังรักษาและเพิ่มแรงกดให้กับรถในย่านความเร็วต่างๆได้อีกด้วย
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ความมันส์ กับความรับผิดชอบ สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้หากเราพยายามที่จะคิดและทำอย่างจริงจัง!
อ้วนซ่าลองรถใหม่เดือนมีนาคม
จั่วหัวขึ้นมาท่านผู้อ่านที่รักของอ้วนซ่าคงจะเดาได้ว่า อ้วนซ่านั้นไปลองรถอะไรมา ใช่แล้วครับในเดือนมีนาคมนี้ไม่มีรถอะไรฮ้อตเกินรถยนต์ชื่อเดียวกันคือ นิสสัน มาร์ชไปได้ (แม้ว่าจะโดนอาณุภาพสีแดงเบียดบังจนมิดอย่างน่าเสียดายก็ตาม)
ความประทับใจแรกที่ได้เห็น รถมาร์ชสีเขียว “สปริงกรีน”สุดจี้ดในโชว์รูม สยามนิสสัน แถบถนนพระราม 3 ที่อ้วนซ่าแอบดอดเข้าไปขอลองของจริง พูดตรงๆว่า “ก็น่ารักดีดูคล้ายๆมินิคูเปอร์” แต่พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่า รถคันนี้พยายามลดต้นทุนอยู่หลายจุด และพอถามเซลล์หนุ่มที่แสนคล่องแคล่ว (คุยๆไปเขาเป็นนักดนตรีประจำร้านอาหารที่อ้วนซ่าไปกินบ่อยๆซะด้วย แถมยังให้บัตรลดค่าอาหาร 20% มาอีก ต้องขอขอบคุณน้อง “อดิศร”สุดหล่อไว้ณ.ทีนี้ด้วย) เค้าก็อรรถาธิบายให้ฟังว่า รถรุ่นที่แสดงอยู่นี้เป็นรถรุ่นรอง ไม่ใช่รองท้อปนะครับ แต่เป็นรองบ๊วย! เป็นรุ่นที่เค้าเรียกว่า Base M/T E หรือหากจะแปลเป็นไทยง่ายๆก็คือ มีกระจกไฟฟ้า เซ็นทรัลล้อค วิทยุCD+MP3 ลำโพง 4 ตัว กระจกมองข้างไฟฟ้า แต่!ไม่มีแม็ก ไม่มีเกียร์ออโต ไม่มีเซนเซอร์ถอยหลัง ไม่มีกุญแจรีโมท ไม่มีถุงลมด้านซ้าย ไม่มีเอบีเอส ไม่มีแอร์ออโต้ สรุปคือ ไม่มีของไร้สาระ มีให้แต่ที่จำเป็นและขายเพียง 425,000 บาท(ซึ่งถ้าอยากได้เกียร์ออโต้ ก็บวกเพิ่มอีกสามหมื่นกว่าบาทเท่านั้น) ซึ่งถูกกว่ารุ่นท้อปซึ่งมีให้ทุกอย่างถึง แสนบาทนิดๆ ส่วนรุ่นบ๊วยนั้นขายอยู่ที่ 375,000 บาท ซึ่งห้าหมื่นบาทที่ประหยัดเพิ่มขึ้นไปจากรุ่นที่จะทดสอบนั้น ก็หายไปกับการไม่มีกระจกไฟฟ้า และวิทยุกับลำโพง ซึ่งมันก็เกินไปนิดนึงสำหรับคนในยุคปัจจุบัน แต่ก็น่าจะเหมาะกับคนที่จะเน้นประหยัดจริงๆหรือเน้นจะเอาไปแต่งเองให้เต็มคราบก็ว่าไป
ซึ่งอ้วนซ่าพอจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเอารุ่นรองบ๊วย เพราะผมเองก็เชื่อว่ารุ่นที่จะขายจริงๆน่าจะเป็นรุ่นประมาณนี้นั่นแหละ เพราะราคามันลงตัวจริงๆ ถึงบททดลองขับ หลังจากปล่อยให้น้องอดิศรเขาขับก่อนรอบหนึ่งตามกติกา อ้วนซ่า(ซึ่งก็อ้วนและซ่าจริงๆ)ขอบอกตามตรงว่าที่ว่ามี 79 แรงม้านั้นท่าทางม้าจะตัวเล็กมาก คนขับต้องแม่นจังหวะจริงๆไม่เช่นนั้นไม่มีแรงมาใช้เอาซะดื้อๆ (แต่อาการนี้รถรุ่นเกียร์ออโต้ CVT ไม่ต้องเป็นห่วง) แต่ยังดีที่เครื่องยนต์ 3 สูบของมาร์ชนั้นก็นับว่า “ลื่น” ใช้ได้ ขับวนไปวนมาอยู่แถวพระราม 3 สักพักหนึ่งก็สรุปได้ว่า สำหรับราคาขนาดนี้ก็นับว่าไม่เลวถ้าคุณเป็น คนรูปร่างเล็กถึงกลาง, ไม่ได้เอาเป็นเอาตายกับสมถรรนะและอัตราเร่งนัก, ชอบความประหยัด, บ้านเล็กมากไม่มีที่จอดรถ, คุณยังเป็นหนุ่มสาวโสดหรือมีก็แค่กิ้ก, และชอบของใหม่สุดๆ(แม้ว่ามันจะหน้าตามู่ทู่ไปบ้าง) นิสสันมาร์ช ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ลงตัวสำหรับคุณได้สบายๆ แต่สำหรับอ้วนซ่าแล้ว ขอผ่านครับ! เพราะมันตรงกันข้ามกับชีวิตและรสนิยมของอ้วนซ่าทุกประการ ฮ่าฮ่า ขอเก็บเงินอันมีน้อยนิดไว้สอย นิสสัน จู้ค ( Nissan Juke) ที่จะดอดเข้ามาขายปีหน้าดีกว่า!
เอาเป็นว่าใช่ หรือไม่ใช่ จั้งซี่มันต้องลอง!
รู้แล้วว่าทำไมคนเรามันอยากจะรวยกันนัก
หากจะวิจารณ์ถึงการออกแบบของเอส-คลาสใหม่คันนี้ คงต้องแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือสิ่งที่ปรับใหม่ และความโดดเด่นที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้สัมผัสและสงวนไว้สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์ครอบครองเท่านั้น (นับเป็นโชคของผู้ทดสอบเป็นอย่างยิ่ง!)
สิ่งที่ใส่เข้ามาใหม่ของรถรุ่นเอส-คลาสคันนี้นอกจากเครื่องยนต์รุ่นใหม่แล้วสิ่งที่มองเห็นได้ด้วย “ตา” จากภายนอกก็คือโคมไฟคู่หน้าโฉมใหม่ที่ดู “ปิ้ง” กว่าเดิม เป็นไฟแบบไบซีนอนที่สามารถปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัย พร้อมเพิ่มหลอดไฟตัดหมอกแบบ LED ที่ด้านล่างที่ให้แสงจัดจ้ากว่าเดิมถึง 10 เท่า และมาพร้อมกับไฟท้ายทรงใหม่ (บอกลาไฟท้ายแบบคาดสีเดียวกับตัวรถไปเลย) ที่ใช้ LED ถึง 52 ดวงที่ส่องสว่างไกล ให้รถที่ตามมาเห็นสัญญาณไฟได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในยามค่ำคืน นอกจากนั้นกันชนหน้าและท้ายก็ได้รับการออกแบบใหม่หมด โดยเฉพาะด้านท้ายนั้นกันชนออกแบบให้มีเส้นสายรับกับซุ้มล้อได้กลมกลืนและเฉียบขาดกว่ารุ่นเดิมและโชว์ท่อไอเสียที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่สอดประสานกับกันชนได้ลงตัวมากๆ เรียกได้ว่ารุ่นที่ผ่านมาแม้จะแจ่มแจ๋วอยู่ก็หมองลงไปถนัดตาเมื่อเทียบกันรุ่นใหม่นี้
แต่จุดที่แจ่มแจ๋วจริงและเป็นสิ่งที่สงวนไว้สำหรับคนพิเศษก็คือ ภายใน! ทุกรายละเอียดของ เอส-คลาสนั้นเรียกได้ว่า สุดยอดอย่างแท้จริงทั้งด้านการใส่ใจในรายละเอียดและด้านนวัตกรรม เริ่มต้นตั้งแต่รายละเอียดของปุ่มต่างๆในรถนั้นออกแบบให้เป็นเอกเทศและแตกต่างจากรถรุ่นรองลงไปอย่างชัดเจนโดยผิวสัมผัสที่ได้นั้นหรูเสียยิ่งหว่าหรู!ด้วยผิวสีพลาตินั่มแบบซาตินที่นุ่มนวลมีระดับกว่ารถหรูรุ่นใดๆในตลาดปัจจุบัน และทุกอย่างจะยิ่งอลังการและหรูหราไปอีกขั้นเมื่ออาทิตย์อัสดง เพราะการให้แสงสว่างภายในห้องโดยสารของเอส-คลาสนั้นงดงามราวกับโรงอุปรากรโอเปร่า ด้วยการปล่อยให้แสงลอดออกมาจากแผงไม้หน้าปัดอย่างงดงามดูแล้วให้ความรู้สึกหรูหราเหนือระดับอย่างไม่ต้องสงสัยใดๆแต่สิ่งที่ทำให้ฮือหาจริงๆก็คือ นวัตกรรมระบบความปลอดภัยของเมอร์เซเดส เบนซ์ที่ใส่มาในรถคันนี้เริ่มต้นด้วย กล้องอินฟาเรดเพื่อช่วยในการขับขี่ที่ช่วยให้ท่าน “เห็น” ในสิ่งที่อาจจะมองไม่เห็น! โดยระบบนี้ใช้จอภาพเดียวกับส่วนที่เป็นหน้าปัดความเร็วรถนั่นเอง โดยทำงานจากกล้องที่ติดไว้เหนือกระจกบังลมหน้า โดยมีมุมมองไกลกว่าที่แสงไฟหน้ารถจะส่องไปถึงและยังรายงานให้เราได้ทราบว่าด้านหน้าของรถเรานั้นสภาพจราจรเป็นอย่างไร เป็นสี่แยกหรือทางตัน ระบบก็สามารถบอกและเตือนให้เราทราบได้ทันที ระบบนี้จะมีประโยชน์อย่างยิ่งหากสภาพอากาศไม่เป็นใจเช่น ฝนตกหนักหรือหมอกลง อีกนวัตกรรมที่โดดเด่นก็คือระบบ ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการขับขี่ทางไกล ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็ว 80-180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเซ็นเซอร์ภายในรถจะทำหน้าที่ตรวจสอบและวิเคราะห์ลักษณะการขับขี่ต่างๆ พร้อมทั้งส่งสัญญาณเสียงและภาพเตือนทันทีเมื่อผู้ขับขี่ดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมรถได้ ไฮเทคจริงๆ!
นอกจากนี้รถยนต์รุ่นเอส-คลาสยังมอบความรื่นรมย์ในการเดินทางทั้งใกล้ไกลด้วยเบาะนั่งแบบนวดได้ และปรับได้ทุกทิศทางทั้ง 4 ที่นั่งที่ใครได้สัมผัสต้องเคลิ้ม! นอกจากนั้นระบบความบันเทิงในห้องโดยสารก็นับว่าเป็นที่สุดของระบบความบันเทิงก็ว่าได้เพราะพร้อมพรั่งไปหมดไม่ว่าจะเป็นระบบใดๆที่คุณนึกได้ เอส-คลาสให้มาพร้อมทุกรูปแบบ จนพื้นที่ไม่พอจะสาธยายความเจ๋ง ของรถคันนี้ได้หมดเพราะสุดไปทุกด้านอย่างแท้จริง!!!!
ออกแบบ 5 ดาว
เครื่องยนต์ 5 ดาว
ช่วงล่าง 5 ดาว
ห้องโดยสาร ดาวล้านดวง
ความสะดวกสบาย ดาวทั้งกาแล็กซี่
ทูอินวัน ไปกับ MINI Clubman
ไม่ได้หมายถึง แชมพูพร้อมครีมนวด แต่อย่างใดเพราะมันคือสิ่งที่เคยขาดหายไปในมินิรุ่นก่อนๆ กล่าวคือหากจะเลือกใช้ชีวิตกับมินิ ก็เหมือนกับเลือกคบกับหนุ่มสุดฮิป(ในสายตาของสาวๆ)หรือไม่ก็สาวเปรี้ยว(ในมุมมองของหนุ่มๆ) แต่กับเจ้าคูเปอร์เอส “คลับแมน” คันนี้ก็เหมือนกับคุณได้ควงแขนหนุ่มหรือสาวสุดเปรี้ยวที่ยังมีความเป็นพ่อบ้านแม่เรือนได้ในเวลาเดียวกัน! เรียกว่าได้ทั้งบู้และบุ๋นในคันเดียว
แน่นอนว่าจุดเด่นที่สุดของ”คลับแมน” เห็นจะไม่พ้นประตูอีกหลายบานที่เพิ่มเข้ามา เริ่มต้นที่บานท้ายแบบที่คนนิยมเรียกว่าแบบ “ตู้กับข้าว” (เด็กๆรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักตู้กับข้าวกันแล้วก็ได้ เพราะสมัยนี้อะไรๆก็จับลงตู้เย็นหมด อยากรู้ว่าตู้กับข้าวหน้าตาเป็นอย่างไรถามคุณพ่อคุณแม่ดูก็แล้วกันนะจ๊ะหนู) ประตูท้ายแบบตู้กับข้าวแบบเปิดออกซ้ายและขวานี้สะดวกสบายกว่าแบบเปิดยกของมินิรุ่นเดิมมากทีเดียวเพราะมุมกางนั้นค่อนข้างแคบและไม่ต้องเปิดหมดทั้งสองข้างก็ใช้งานทั่วๆไปได้สบายๆ แม้พื้นที่สัมภาระนั้นแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอลังการอะไรนักก็ยังเรียกได้ว่าพอไปวัดไปวาได้สบายๆไม่เหมือนกับมินิรุ่นมาตรฐานที่แคบเอาซะเหลือเกิน (แต่ก็เห็นในหนังฮอลลิวู้ดเอามาขนทองแท่งได้หลายแท่งเหมือนกันนิ) แต่ภาพจากกระจกมองหลังนั้นก็ออกจะแปลกๆซักหน่อยเพราะมีขอบประตูบานซ้ายและขวาโผล่มาผ่ากลางกระจกมองหลังเสียนี่ ต้องอาศัยความเคยชินสักครู่ก็จะคลายกังวลไปได้
ส่วนประตูบานพิเศษอีกบานหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาทางด้านคนขับนั้นก็ช่วยให้การเข้าไปยังเบาะหลังทำได้สะดวกขึ้น “บ้างเล็กน้อย” ไม่รู้ว่า มินิ นั้นจะเหนียวไปถึงไหนถึงให้มาแค่ข้างเดียวโดยไม่ให้ด้านซ้ายมาด้วย เพราะการจอดรถริมถนนแล้วให้คนนั่งเบาะหลังตะกายออกมาทางด้านคนขับนั้นเป็นประสบการณ์ที่หวาดเสียวพิลึก
แต่จุดสำคัญที่สุดของรถคันนี้เห็นจะไม่พ้นพื้นที่เบาะหลังที่นั่งได้จริงเสียที (แม้จะไม่ได้อลังการนักเช่นเคย) ลืมไปได้เลยกับเบาะสุดแคบของมินิรุ่นปกติที่มักจะเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นผู้รับโชคชะตาที่ต้องไปนั่งหลังในกรณีไปไหนกันหลายๆคน แถมคันที่ได้รับมาทดสอบมาพร้อมกับหลังคากระจกที่เปิดรับแสงและวิวได้จากหน้าจรดหลังช่วยให้คลายความอึดอัดไปได้อักโข
นอกเหนือไปจากนั้นแล้วมินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน คันนี้ก็มีทุกสิ่งที่เป็นองค์ประกอบหลักที่เป็นที่นิยมของมินิรุ่นดั่งเดิมอยู่ครบถ้วน แต่ถ้าหากคุณยังต้องการมินิที่ใช้งานได้เต็มที่และสะดวกสบายกว่านี้ผู้เขียนแนะนำว่าขอให้กำเงินในกระเป๋าต่อไปอีกนิดแล้วหามาเพิ่มอีกหน่อยแล้วรอสอยเจ้า มินิ “คันทรี่แมน” เอสยูวีแบบ 5 ประตูน้องใหม่ในสายพันธ์มินิ ที่กว้างขึ้น ยาวขึ้น และมาพร้อมระบบขับสี่ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติแบบ “มินิ” เหมือนเดิม รับรองว่าไม่นานเกินรอชาวไทยได้มีการสอยและถอยมาเป็นเจ้าของแน่ๆ ฟันธง!!
ออกแบบ 4 ดาว
เครื่องยนต์ 4 ดาว
ช่วงล่าง 2.5 ดาว
ห้องโดยสาร 4 ดาว
ความสะดวกสบาย 3.5 ดาว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)